Hotels.com เผยทั่วโลกใช้จ่ายค่าห้องพักสูงขึ้น 3% สวนทางกับคนไทยที่ใช้จ่ายค่าห้องพักในประเทศลดลง 7%
ผลสำรวจจากดัชนีราคาห้องพัก (Hotel Price Index – HPI) ล่าสุดของ Hotels.com เผยให้เห็นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในระดับโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนักท่องเที่ยวทั่วโลกจ่ายเงินค่าห้องพักเพิ่มขึ้น 3% ในปี 2561 ยกเว้นประเทศในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกรวมถึงประเทศไทย โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยจ่ายค่าห้องพักภายในประเทศในปี 2561 เฉลี่ยต่อคืนที่1,720 บาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับปี 2560 ในขณะที่จ่ายค่าห้องพักต่างประเทศในปี 2561 เฉลี่ยอยู่ในระดับเดิมที่ 4,437 บาทต่อคืน โดยมีราคาค่าใช้จ่ายเท่ากันกับปี 2560
- ผลสำรวจดัชนีราคาห้องพักจาก com ในปี 2561 พบว่านักท่องเที่ยวทั่วโลกใช้จ่ายค่าห้องพักเพิ่มสูงขึ้น 3% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2547
- ในทางกลับกัน ดัชนีราคาห้องพักเปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยจ่ายเงินเฉลี่ย 1,720 บาทต่อคืน สำหรับค่าห้องพักในประเทศ ลดลง 7% เมื่อเทียบกับปี 2560
- นักท่องเที่ยวชาวไทยจ่ายเงินเฉลี่ย 4,437 บาทต่อคืนสำหรับค่าห้องพักต่างประเทศ ซึ่งเป็นราคาค่าใช้จ่ายเท่ากันกับปี 2560
- ราคาห้องพักเฉลี่ยในระดับโลกจากผลสำรวจดัชนีราคาห้องพักของ Hotels.com ในปีนี้ มีสถิติราคาเฉลี่ยสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ
ทั้งนี้ การเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเกิดขึ้นสวนทางกับภาวะความผันผวนเศรษฐกิจหลายประการไม่ว่าจะเป็น เบร็กซิท (Brexit) หรือการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรที่กำลังเกิดขึ้น รวมถึงภาวะภัยธรรมชาติทั้งวิกฤตการณ์ไฟป่าที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ภาวะแห้งแล้งในประเทศแอฟริกาใต้ และแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มเชิงบวกและกลับมามั่นใจในการเดินทางท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมต่างๆ อาทิ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอียิปต์ และประเทศตุรกี รวมถึงกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติทั้งในแถบอเมริกาใต้และอเมริกาเหนือ แม้ว่าการใช้จ่ายค่าห้องพักในทั่วโลกจะเพิ่มสูงมากขึ้น แต่ในปีที่ผ่านมาคนไทยใช้จ่ายค่าห้องพักในประเทศลดน้อยลง ในขณะที่ใช้จ่ายค่าห้องพักต่างประเทศในระดับราคาเดิม
อดัม เจย์ ประธานบริษัท Hotels.com กล่าวว่า “ดัชนีราคาห้องพักหรือ HPI เป็นเครื่องบ่งชี้ทิศทางที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมของเราเสมอมา โดยช่วยให้เราเข้าใจข้อมูลเชิงลึกและก้าวทันเทรนด์การท่องเที่ยวในระดับโลก ปีนี้เราเห็นการเติบโตของการใช้จ่ายห้องพักในการท่องเที่ยว แม้ว่าจะมีปัจจัยที่ท้าทายหลายประการ ทั้งภาวะเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ แต่การเติบโตนับเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมนี้ยังเดินหน้าต่อไปได้ในอนาคต”