ผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก 3D รักษาถุงน้ำดีอักเสบ
โดยทั่วไปแล้วนิ่วในถุงน้ำดีมักจะไม่ก่อให้เกิดอาการ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง คล้ายอาการของโรคกระเพาะอาหารหรือโรคกรดไหลย้อน จึงทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รู้ตัวอีกทีก้อนนิ่วหลุดไปอุดตันจนเกิดการอักเสบ เสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องท้องและอาจเสียชีวิตได้
ปัจจุบันการผ่าตัดผ่านกล้องในภาวะที่มีการอักเสบของถุงน้ำดี ไม่เพียงแผลมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย ผู้ป่วยฟื้นตัวและกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เร็ว ยังจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้
นพ. ชนินทร์ ปั้นดี ศัลยแพทย์ด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ปกติแล้วภาวะนิ่วในถุงน้ำดีพบได้บ่อยถึง 10 – 15% โดยเฉพาะผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป หลายคนพบนิ่วในถุงน้ำดีเมื่อมาตรวจสุขภาพ บางคนมีญาติพี่น้องตรวจพบนิ่ว บ้างอยู่ในวัยทำงานไม่มีเวลาดูแลตนเองด้านอาหารการกินและสุขภาพ และยังเป็นโรคที่เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ช่วงแรกอาจมีอาการไม่มาก หากปล่อยทิ้งไว้จนเกิดการอุดตันอักเสบส่งผลให้ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (Acute Cholecystitis) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่พบได้ 20% ของผู้ป่วยที่เป็นนิ่วที่มีอาการแต่ไม่ได้รักษา
สาเหตุของถุงน้ำดีอักเสบแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลักๆ คือ 1) ถุงน้ำดีอักเสบจากนิ่ว เป็นสาเหตุของโรคถุงน้ำดีอักเสบที่พบมากถึง 95% อาจเกิดจากก้อนนิ่วในถุงน้ำดี (gallstone) หรือตะกอนของถุงน้ำดี (biliary sludge) ไปอุดตันทางออกถุงน้ำดี (cystic duct) จนทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบ ต่อมาอาจเกิดถุงน้ำดีเป็นหนอง ถุงน้ำดีขาดเลือดเกิดเนื้อตายเน่า ถุงน้ำดีแตกทะลุ ท่อน้ำดีติดเชื้อ หรือติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งร้ายแรงอาจถึงชีวิตได้ 2) ถุงน้ำดีอักเสบจากสาเหตุอื่น พบได้ประมาณ 5% เช่น ถุงน้ำดีได้รับอุบัติเหตุฉีกขาด ถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดีเกิดเนื้องอก ท่อน้ำดีตีบตันจากพังผืด การทำงานที่ผิดปกติของถุงน้ำดีในผู้ป่วย ICU ผู้ป่วยสูงอายุที่มีเส้นเลือดเสื่อม ติดเชื้อ หรือได้รับอาหารทางเส้นเลือดนานๆ เป็นต้น
ผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (Acute Cholecystitis) จะมาด้วยอาการปวดท้องรุนแรง จุกเสียดแน่นท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึกๆ จะปวดมาก หากเป็นมากในบางรายอาจมีภาวะดีซ่าน ตัวเหลืองตาเหลืองปัสสาวะเหลืองเข้ม อุจจาระสีซีดเนื่องจากน้ำดีไหลลงลำไส้ไม่ได้จนย้อนเข้ากระแสเลือด หรือเมื่อถุงน้ำดีแตกทะลุ ผู้ป่วยจะมีไข้หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ อาจมีปวดร้าวไปยังหัวไหล่ขวาหรือหลัง เจ็บทุกส่วนของช่องท้อง
หากมีอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์อย่างเร่งด่วน แพทย์จะซักถามอาการ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบนเพื่อวินิจฉัยแยกจากโรคอื่นที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องที่คล้ายกัน อาทิ โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีนิ่วอุดตันในท่อน้ำดีหลักร่วมด้วย อาจจำเป็นต้องตรวจทางเดินน้ำดี (Magnetic Resonance Cholangiopancreatography : MRCP) ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพิ่มเติม
โดยทั่วไปถุงน้ำดีอักเสบเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ถ้าผู้ป่วยมีอาการภายใน 1 สัปดาห์แพทย์มักจะแนะนำทำการผ่าตัด แต่หากผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อน เกิดถุงน้ำดีอักเสบรุนแรง แพทย์จะให้ยาปฏิชีวินะหรือเจาะถุงน้ำดีใส่สายระบายการติดเชื้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ หากผู้ป่วยมีอาการมานานกว่า 1 สัปดาห์และมีการตอบสนองต่อยาดีจึงทำการผ่าตัดต่อไปใน 6-12 สัปดาห์ ถ้าผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยาหรือมีการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือถุงน้ำดีเป็นหนองและมีเนื้อตาย อาจต้องตัดสินใจผ่าตัดอย่างเร่งด่วน
โดยวิธีการผ่าตัดถุงน้ำดีอาจทำได้โดย 1.การผ่าตัดถุงน้ำดีแบบเปิดหน้าท้อง (Open Cholecystectomy) เป็นวิธีผ่าตัดแบบดั้งเดิม ปัจจุบันแพทย์จะเลือกใช้ในกรณีที่ถุงน้ำดีมีอาการอักเสบมากหรือแตกทะลุ 2.การผ่าตัดถุงน้ำดีแบบผ่านกล้อง (Laparoscopic Cholecystectomy) โดยศัลยแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมมาเฉพาะและมีความชำนาญสูง เนื่องจากการผ่าตัดแบบผ่านกล้องในภาวะที่มีการอักเสบของถุงน้ำดีทำได้ยาก
ปัจจุบันการผ่าตัดผ่านกล้องได้กลายเป็นวิธีผ่าตัดมาตรฐาน โดยแพทย์จะเจาะรูขนาดเล็กบริเวณหน้าท้องด้วยเครื่องมือ จากนั้นจึงใส่กล้องเข้าไปเลาะถุงน้ำดีให้หลุดออกจากตับ ตัดขั้วของถุงน้ำดี แล้วนำถุงน้ำดีที่ตัดใส่ถุงปลอดเชื้อออกมาทางสะดือ หลังผ่าตัดแผลมีขนาดเล็ก อาการปวดแผลน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเดิม ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยสามารถลุกเดินได้ภายใน 4 – 6 ชั่วโมงหลังผ่าตัด(ในผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงก่อนผ่าตัด) ผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาลระยะสั้นเพียง 1-2 วัน ฟื้นตัวเร็ว และกลับไปทำงานได้เร็วขึ้น
ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันไม่สามารถป้องกันได้ แต่เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี ด้วยการลดการทานอาหารมัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการโหมลดน้ำหนักมากๆ เลี่ยงการใช้ยากลุ่มฮอร์โมน ทำการตรวจสุขภาพประจำปีและหมั่นสังเกตตัวเอง หากมีอาการจุกแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องอืดง่ายหลังทานอาหารมันๆ ควรเข้ารับการตรวจรักษากับแพทย์ก่อนที่จะเกิดการอักเสบจนติดเชื้อรุนแรง ที่สำคัญการผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อรักษาถุงน้ำดีอักเสบ ควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเร็ว