SCM เดินหน้ายกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม Network Marketing แบรนด์ไทยแห่งแรกที่เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET นักลงทุนให้การตอบรับดีเกินคาด หลังเปิดการซื้อขายใน SET วันแรก พร้อมปันผลผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 เผยปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจ การเมือง โควิด -19 ควบคุมไม่ได้ แต่พร้อมพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเดินหน้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์ตลาดสุขภาพ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดอาเซียน
สำหรับหุ้น SCM ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนและผู้ที่สนใจเป็นอย่างดี จะเห็นได้จากยอดจองหุ้นที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยหลังเปิดทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก (วันที่ 8 กันยายน 2563) พบว่าหุ้น SCM ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนและผู้ที่สนใจเกินความคาดหมาย โดยมีราคาเปิดตลาดอยู่ที่ 2.86 บาท เพิ่มขึ้น 0.96 บาท จากราคา IPO ที่ 1.90 บาทต่อหุ้น หรือหุ้นพุ่งเหนือจอง 50.53% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นใน SCM และอุตสาหกรรมเครือข่ายของไทย
นายแพทย์ สิทธวีร์ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเข้า SET ว่า “ต้องการระดมทุนเพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงสาขาเดิมที่มีอยู่และขยายสาขาใหม่ๆ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อสร้างจุดแข็งและต่อยอดทางธุรกิจของ SCM ด้วยการนำข้อมูล หรือ Big Date มาวิเคราะห์เพิ่มประสิทธิภาพของยอดขายควบคู่กับการสนับสนุนสมาชิกนักธุรกิจซัคเซสมอร์ในประเทศไทยและต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนของนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในแต่ละปีนั้น จะจ่ายในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลตามงบการเงินเฉพาะกิจการ และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย ทั้งนี้ อาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลแตกต่างไปจากนโยบายที่กำหนดไว้ได้ ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ สภาพคล่องทางการเงิน และความจำเป็นในการใช้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อบริหารกิจการ และแผนการขยายธุรกิจในอนาคต รวมถึงภาวะเศรษฐกิจ”
นอกจากนี้ SCM ยังได้รับการเปลี่ยนสถานะจากสมาชิกวิสามัญเป็นสมาชิกสามัญของสมาคมการขายตรงไทย (TDSA) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของทีมผู้บริหารของ SCM ที่มีความเป็นมืออาชีพ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ Network Marketing ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ภายใต้ปรัชญาที่ว่า Inspiration for your Being “แรงบันดาลใจเปลี่ยนชีวิตคุณ”
“ในฐานะผู้ประกอบการ เราต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ อย่างที่ SCM เรามองตัวเองเป็นแพลตฟอร์มสำหรับซื้อ-ขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเป็นหลักและเพิ่มไลน์กลุ่มสินค้าพรีเมี่ยมเรื่องดูแลสุขภาพ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนที่มีแนวโน้มในการใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการสร้างสังคม Wellness & Well-being เพื่อสร้างชุมชนคนรักสุขภาพ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด -19 ทุกคน ทุกอาชีพมีความกังวล ดังนั้นต้องชี้ให้เห็นว่าอาชีพที่ 2 มีความจำเป็น องค์กรต้องมีเครื่องมือที่ทำให้คนมั่นใจ พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้ เพราะถ้าปรับตัวไม่ได้ธุรกิจก็จะไปต่อไม่รอด ช่วงเวลานี้ “ธุรกิจ Network Marketing” ยังมีโอกาสที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค การสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์จึงเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน”
CEO นพกฤษฏิ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากการพัฒนาเครื่องมือ Digital Platform แล้ว SCM ยังให้ความสำคัญกับตัวแทนจำหน่ายใน 6 ประเทศ ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม โดยมีแนวโน้มอัตราการเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากเทรนด์สุขภาพ และสังคม Aging society
ที่ผ่านมา SCM ยังคงให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สุขภาพ ความสวย ความงาม ภาคการเกษตร เทคโนโลยีและนวัตกรรม จะเห็นได้จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง หรือไตรมาสละ 1 – 2 รายการ จากปัจจุบันที่มีสินค้าให้เลือกกว่า 70 รายการ ครอบคลุม 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว 4.กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าในครัวเรือน 5.กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 6.กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี 7. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายโดยส่วนใหญ่ใช้ตราสินค้าของผู้จัดจำหน่ายภายนอก (กลุ่มสินค้ารายการ Multi-Potential)
ซึ่งการมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า ถือว่าเป็นจุดแข็งและข้อได้เปรียบที่ทำให้นักธุรกิจและผู้บริโภคมีความมั่นใจที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ SCM โดยปัจจุบันมีนักธุรกิจซัคเซสมอร์ 180,000 คนทั่วประเทศ และมีเป้าหมายที่จะขยายนักธุรกิจซัคเซสมอร์ให้ได้ 200,000 คนภายในสิ้นปีนี้
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจขายตรงของไทย มีมูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท มองว่ายังคงแข่งขันรุนแรงและต่อเนื่อง จะเห็นได้จากการที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเล่นในตลาดนี้มากขึ้น แต่ด้วยกลยุทธ์ของ SCM ที่เน้นการสร้างแบรนด์และความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับนักธุรกิจโดยเฉพาะในกลุ่มบุคคลที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ภายใต้หลักการกำกับดูแลธุรกิจให้มีมาตรฐาน มีระบบสนับสนุนธุรกิจที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบุคคลให้มีภาวะผู้นำ การให้ความรู้ที่ถูกต้องในการสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ
รวมถึงการฝึกอมรมให้ความรู้และเทคนิคต่างๆ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยสถาบัน Successmore Leadership Academy (SLA) ที่ช่วยยกระดับศักยภาพและความสำเร็จ โดยการพัฒนาทรัพยากรบุคคลทั้งด้าน Mindset, Toolset, Skillset และ Teamwork เพื่ออัพเกรดความรู้ ความสามารถและทักษะของทีมงานและผู้นำทางธุรกิจมาใช้ต่อยอดในการทำงานอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดแข็งของ SCM ที่ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดนี้ได้ ปัจจุบัน SCM นับเป็นบริษัท Network Marketing แบรนด์ไทยแห่งแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยถือเป็นแบรนด์ไทยแห่งแรกที่ได้พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมนี้