สมาคมประกันวินาศภัยไทย แถลงผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัย ตั้งแต่เดือนมกราคม – เดือนกันยายน 2563 รวม 9 เดือนที่ผ่านมา มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 184,368 ล้านบาท เติบโต 3.9% โดยคาดการณ์ทั้งปี 2563 เติบโต 2.5-3.5% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 250,000-252,600 ล้านบาท และคาดว่าปี 2564 จะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 250,000-262,500 ล้านบาท จะเติบโตราว 0-5.0%
โดยการประกันภัยสุขภาพที่ไม่รวมส่วนของการประกันภัย COVID-19 จะมีโอกาสเติบโตมากกว่าการประกันภัยประเภทอื่น ในขณะที่ช่องทางการขายประกันภัยผ่านอินเทอร์เน็ตเริ่มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมแนะบริษัทสมาชิกปรับตัวให้ทันกับยุควิถีใหม่ในการดำเนินธุรกิจ พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและสามารถปรับเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสเพื่อความอยู่รอดภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
ตัวเลขผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัย ณ ไตรมาส 3 ของปี 2563 ยังคงมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของการประกันภัยรถยนต์ (0.2%) การประกันอัคคีภัย (0.5%) การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง (2.3%) การประกันภัยเบ็ดเตล็ด (11.3%)
ส่วนโครงการประกันภัยพืชผล (โครงการประกันภัยข้าวนาปี และโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) นั้น มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 4,084.32 ล้านบาท คิดเป็น 1.6% ของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมของการประกันภัยทุกประเภท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีรับรวม 3,758.64 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รับรวม 325.68 ล้านบาท
ที่เหลือเป็นการขายผ่านช่องทางอื่นๆ ซึ่งยังไม่ได้เป็นช่องทางการขายที่เติบโตมากนัก ยกเว้นช่องทางการขายผ่านอินเทอร์เน็ตซึ่งแม้จะมีส่วนแบ่งในการสร้างเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่องทางการขายอื่น แต่กลับพบว่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 794 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 249% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ประเภทการประกันภัยรถยนต์และการประกันภัยสุขภาพสามารถขายผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นได้เป็นจำนวนมาก
ส่วนแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัย ปี 2563 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 2.5-3.5% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 250,000-252,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะทำให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เกิดการใช้จ่าย การผลิต การจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลให้มีการขยายตัวของการนำเข้าและส่งออก รวมทั้งกำลังซื้อรถยนต์บางส่วนในช่วงปลายปีจากโปรโมชั่นในงานมหกรรมยานยนต์
ตลอดจนแนวโน้มที่ดีในเรื่องของความตื่นตัวในการป้องกัน COVID-19 ของประชาชน รวมทั้งการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ซึ่งจะส่งผลให้การเดินทางและท่องเที่ยวฟื้นตัว ในขณะเดียวกันประชาชนเริ่มมีความรู้และมีความคุ้นเคยกับการทำประกันภัยสุขภาพเพื่อบริหารความเสี่ยงจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทั้งหมดนี้ทำให้คาดการณ์ว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2564 จะมีโอกาสขยายตัวประมาณ 0-5.0% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 250,000-262,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ ด้าน อาทิ สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในประเทศและต่างประเทศ (มีการระบาดลดลง หรือมีการระบาดระลอกใหม่) ความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 และการเข้าถึงวัคซีน มาตรการการเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค.
นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยในยุควิถีชีวิตใหม่ (New Normal) นั้น มีสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ระเบียบและกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ที่ส่งผลต่อการปรับตัวของธุรกิจ การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ การเพิ่มขึ้นของจำนวนภัยพิบัติและความรุนแรง การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrime) การฉ้อฉลประกันภัยในรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคและรูปแบบการดำเนินชีวิต (Lifestyle) ที่เปลี่ยนแปลงไป
บริษัทประกันวินาศภัยจำเป็นต้องปรับกระบวนการทำงานของบริษัทใหม่ ทั้งระบบการทำงานภายใน การขาย การให้บริการ โดยต้องมุ่งเน้นการนําอินชัวร์เทค (InsurTech) มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน ลดค่าใช้จ่ายของบริษัท เน้นการพัฒนาทักษะและศักยภาพบุคลากรแบบ RUN (Reskill / Upskill / New Skill) เพื่อให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถที่จำเป็นสำหรับโลกสมัยใหม่ สามารถเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
ซึ่งที่ผ่านมา สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้จัด CEO Forum และการอบรมสัมมนาในหัวข้อที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยในโลกยุคใหม่เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้กับบุคลากรในธุรกิจประกันวินาศภัยในทุกระดับมาโดยตลอด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทสมาชิกเพื่อรองรับกับสถานการณ์ของธุรกิจประกันวินาศภัยที่กำลังก้าวเข้าไปสู่โลกใหม่อย่างรวดเร็วนั่นเอง
1.โครงการรณรงค์สวมหมวกกันน็อค 100% ในพื้นที่โรงงาน สถานประกอบการ โรงเรียนหรือสถานศึกษาต่างๆ โดยการจำหน่ายให้กับประชาชนได้ซื้อและสวมใส่ในราคาถูกกว่าท้องตลาด 2.การจัดทำวงเวียนเพื่อลดอุบัติเหตุตามจุดเสี่ยงต่างๆ โดยการสำรวจจุดเสี่ยงและแยกอันตรายเพื่อปรับเปลี่ยนสี่แยกอันตรายเป็นวงเวียนที่ปลอดภัยในการช่วยลดอุบัติเหตุ และ 3.ปรับปรุงข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนผ่าน www.Thairsc.com ของบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ให้มีความน่าสนใจ และเข้าใจง่ายขึ้น เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ได้นำข้อมูลไปใช้อ้างอิงและเกิดประโยชน์ในการป้องกันและลดอุบัติเหตุได้ ซึ่งหากโครงการดังกล่าวนี้ ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายเป็นที่น่าพอใจจะได้ดำเนินการขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติมต่อไป