เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวได้แข็งแกร่งมากขึ้น แต่จะมีความแตกต่างกันระหว่างประเทศต่างๆ ค่อนข้างมากตามความเร็วของการฉีดวัควีน COVID-19 และขนาดของมาตรการภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสำคัญ EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกในปี 2564 จะขยายตัว 5.6% ดีกว่าที่คาดไว้เดิมที่ 5.0% หลังจากที่หดตัว 3.5% ในปี 2563 โดยเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกในปีนี้ (synchronized recovery) เป็นผลจากความคืบหน้าของการค้นพบและฉีดวัคซีน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และฐานต่ำ
อย่างไรก็ดี ความเร็วของการฟื้นตัวในระยะข้างหน้าของประเทศต่าง ๆ จะมีความแตกต่างกันอยู่ค่อนข้างมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ความรวดเร็วในการฉีดวัคซีนจนได้รับภูมิคุ้มกันหมู่ (race to herd immunity) โดยประเทศที่มีภูมิคุ้มกันหมู่ได้ก่อน จะสามารถเปิดเมืองและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะ face to face ได้มากขึ้น 2) ความต่อเนื่องและเพียงพอของมาตรการภาครัฐเพื่อลดผลกระทบจากแผลเป็นทางเศรษฐกิจ และ 3) โครงสร้างเศรษฐกิจซึ่งหากมีการพึ่งพาภาคบริการโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูง หรืองบดุลของภาคครัวเรือนหรือภาคธุรกิจมีความเปราะบางอยู่ก่อนหน้าจะมีการฟื้นตัวได้ช้ากว่า
สำหรับด้านมาตรการของภาครัฐ ในส่วนนโยบายการคลัง กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่กว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนปริมาณมากในต้นทุนที่ต่ำ และยังมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ล่าสุดได้มีการเสนอมาตรการกระตุ้นขนาด 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นอย่างมาก และจะเป็นเครื่องจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้
ขณะที่บางประเทศในกลุ่ม EM อาจเผชิญข้อจำกัดในการออกมาตรการเพิ่มเติม หลังหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นมากและมีการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง สำหรับนโยบายการเงิน ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำและการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อดูแลต้นทุนทางการเงินของภาครัฐและเอกชนให้อยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทำให้ตลาดเริ่มมีความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น จนทำให้อัตราพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ ปรับขึ้นอย่างมีนัย อย่างไรก็ดี EIC ประเมินว่า ความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้นมากจนเป็นเหตุให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต้องหยุดชะงักลงในปีนี้ยังมีจำกัดและอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ เนื่องจากตลาดแรงงานในประเทศส่วนใหญ่ยังมี slack อยู่พอสมควร ทำให้แรงกดดันต่อการขึ้นของค่าแรงมีไม่มาก
รวมทั้งการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตของประเทศส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารกลาง ทั้งนี้ แม้ตลาดจะคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินเป็นประเทศแรกในช่วงต้นปี 2565 แต่ EIC เชื่อว่า การปรับลดการซื้อสินทรัพย์จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะไม่เกิดขึ้นจนถึงปี 2566 หรือ ไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2567 สะท้อนกรอบนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่ให้ความสำคัญต่อเป้าหมายของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และเงินเฟ้อ และยังมีการเพิ่มความยืดหยุ่นของกรอบนโยบายให้สามารถรองรับสถานการณ์เงินเฟ้อที่อาจสูงกว่าเป้าหมายได้นานมากขึ้น แต่ยังต้องจับตามองพลวัตของอัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางที่อาจสูงขึ้นได้กว่าคาด จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก เช่น ห่วงโซ่การผลิตของโลกที่สั้นลง การค้าระหว่างประเทศที่ลดลง หรือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตและระดับราคาสินค้าปรับสูงขึ้นได้เร็วกว่าในอดีต จนเป็นเงื่อนไขทำให้ธนาคารกลางต่าง ๆ ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าคาด ส่งผลให้เกิดความผันผวนของตลาดการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมได้
ขณะที่ในระยะต่อไป คาดว่าการส่งออกมีแนวโน้มปรับดีขึ้นต่อเนื่องตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวจากการเร่งฉีดวัคซีนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ดังนั้น จึงทำให้ EIC ปรับเพิ่มคาดการณ์มูลค่าส่งออกของไทยในปี 2564 เป็นขยายตัวที่ 6.4% จากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 4.0% อย่างไรก็ดี ภาคท่องเที่ยวของไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้เพียง 3.7 ล้านคน เนื่องจากการเดินทางระหว่างประเทศจะฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อประเทศส่วนใหญ่มีภาวะภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว (Herd immunity) ซึ่งจะทำให้ประเทศเหล่านั้นเปิดประเทศต่อนักเดินทางที่ฉีดวัคซีนแล้วทั้งขาเข้าและขาออกอย่างเสรีมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มีโอกาสได้รับภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ที่เร็วกว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีนี้ กลับไม่ใช่กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทย จึงทำให้การท่องเที่ยวของไทยยังมีแนวโน้มฟื้นช้า โดยคาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้และต้นปีหน้าซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยจะทยอยมีภูมิคุ้มกันหมู่มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (bottomed out) ซึ่งสอดคล้องกับที่ EIC เคยคาดไว้ว่าผลกระทบของการระบาดรอบใหม่จะมีประมาณ 2 เดือน ทั้งนี้แม้ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะมีไม่มากเท่ากับที่เคยเกิด แต่นับเป็นการซ้ำเติมแผลเป็นเศรษฐกิจของไทย กล่าวคือ การเปิดกิจการใหม่มีแนวโน้มลดลง 3 ปีติดต่อกัน ขณะที่กิจการในภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่อาจประสบปัญหาด้านสภาพคล่องซ้ำเติม ส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อการลงทุนและภาวะการจ้างงานที่ซบเซาอยู่แล้ว
โดยข้อมูลตลาดแรงงานสะท้อนว่า แม้อัตราการว่างงาน ณ ธันวาคม 2563 จะอยู่ในระดับไม่สูงมากที่ 1.5% แต่ผลกระทบต่อรายได้ของครัวเรือนรุนแรงและกว้างขวางกว่านั้น สะท้อนจาก 1) ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของแรงงานไทยที่ลดลงกว่า 6% ขณะที่สัดส่วนผู้ทำงานต่ำระดับ (ต่ำกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) เพิ่มขึ้นกว่า 1.8 ล้านคน (เทียบช่วงปี 2563 กับค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนหน้า) 2) จำนวนคนทำงานอาชีพอิสระเพิ่มขึ้นกว่า 1.3 ล้านคนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงธันวาคม 2563 ซึ่งถือเป็นงานที่มีระดับและความมั่นคงด้านรายได้ที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับตำแหน่งงานในลักษณะนายจ้างและลูกจ้างที่ปรับลดลง
รวมทั้งมีข้อมูลที่ชี้ว่า รายได้เฉลี่ยของอาชีพอิสระประเภทต่างๆ ก็ลดลงจากเดิมมากเช่นกัน จากอุปทานแรงงานที่เพิ่มขึ้นมากในภาวะเศรษฐกิจซบเซา และ 3) จำนวนแรงงานที่ช่วยงานที่บ้านโดยไม่มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 1.4 ล้านคนในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่า แม้การว่างงานจะไม่มาก แต่แรงงานไทยเผชิญปัญหารายได้ลดลงอย่างรุนแรง จากการทำงานที่ต่ำกว่าศักยภาพ ทำให้กำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการบริโภคถูกกระทบมาก จนเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไป
อย่างไรก็ดี เม็ดเงินจากภาครัฐเป็นปัจจัยหลักสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ผ่านการใช้จ่ายทั้งในส่วนของงบประมาณ และเม็ดเงินจาก พรก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท โดยในส่วนของการเบิกจ่ายในงบประมาณ EIC คาดว่าภาครัฐจะมีการลงทุนด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้นถึง 9.4%YOY ในปี 2564 จากการก่อสร้างทั่วไปตามงบประมาณและโครงการเมกะโปรเจกต์เป็นสำคัญ
ด้านนโยบายการเงิน คาดว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตลอดปี 2564 รวมทั้งใช้มาตรการเฉพาะจุดร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งผ่านนโยบายการเงินและจัดสรรสภาพคล่อง รวมถึงสนับสนุน
การปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการจัดการกับหนี้เสีย ภาวะการเงินโดยรวมของไทยยังคงอยู่ในระดับผ่อนคลายจากการที่ ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และใช้มาตรการต่างๆ เพื่อกระจายสภาพคล่องและลดค่าใช้จ่ายด้านการชำระหนี้ให้แก่ครัวเรือนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของไทยโน้มสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในระยะต่อไป EIC คาดว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ตลอดปี 2564 ควบคู่กับการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเมื่อจำเป็นเพื่อดูแลดอกเบี้ยในตลาดการเงินให้อยู่ในระดับต่ำเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายใต้แนวโน้มเงินเฟ้อที่จะยังอยู่ในระดับต่ำ (คาดเงินเฟ้อทั่วไปปี 2564 อยู่ที่ 1.3%)
นอกจากนี้ คาดว่า ธปท. จะปรับรูปแบบการช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อกระจายสภาพคล่องไปยังธุรกิจ SME ได้มากขึ้น โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 2 กลุ่มคือ 1) ธุรกิจที่ยังสามารถดำเนินกิจการได้ หรือต้องการฟื้นฟูกิจการแต่ขาดสภาพคล่องนั้น ธปท. จะมีการปรับเงื่อนไขของมาตรการ Soft loan และการใช้เครื่องมือการค้ำประกันความเสี่ยงของ บสย. เพื่อให้ธุรกิจที่เผชิญปัญหาสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และ 2) ธุรกิจที่มีภาระหนี้ที่มีหลักประกัน แต่อุปสงค์ฟื้นตัวช้าทำให้ขาดรายได้ คาดว่า ธปท. จะผลักดันให้ใช้มาตรการโกดังเก็บหนี้เพื่อลดภาระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยของลูกหนี้ ตลอดจนลดความเสี่ยงของการปรับลดลงอย่างรุนแรงของราคาสินทรัพย์ในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจโรงแรม
สำหรับค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2564 EIC คาดว่ามีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากสิ้นปีก่อนมาอยู่ในช่วง 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเป็นสำคัญ เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มเร็วกว่าประเทศอื่นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวที่ปรับเพิ่มขึ้นเร็ว
การแทรกแซงค่าเงิน (Monitoring List) สำหรับความเสี่ยงที่อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่ามากกว่าคาดมาจากสถานการณ์การเมืองไทยที่อาจมีความไม่แน่นอนมากขึ้น และการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ช้ากว่าที่ประเมินไว้
ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยในปี 2564 ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญ ประกอบด้วย 1) การระบาดของ COVID-19 ที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งในไทยและต่างประเทศ ตราบใดที่ยังไม่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ 2) การฉีดวัคซีนในไทยที่อาจล่าช้ากว่าแผน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว 3) ภาระหนี้เสียที่อาจสูงกว่าคาดซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพภาคการเงิน 4) ปัญหาเสถียรภาพการเมืองในประเทศที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นโดยเฉพาะด้านการลงทุน และ 5) ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลกที่อาจปะทุขึ้นอีก จากการแข่งขันทางการค้าและเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ขณะที่ความเสี่ยงด้านสูงที่สำคัญ ได้แก่ การใช้จ่ายของภาครัฐที่มากกว่าคาด ในภาพรวม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า และมีความเสี่ยงที่จะเกิด permanent output loss ขนาดใหญ่ สะท้อนการพึ่งพาภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้าและแผลเป็นเศรษฐกิจที่ค่อนข้างลึก ซึ่งอาจกระทบต่ออัตราการขยายตัวเศรษฐกิจในระยะยาวได้
โดยจากการศึกษาของ EIC พบว่า ระดับ GDP ของไทยจะกลับไปสู่ระดับก่อนเกิด COVID-19 ได้ในช่วงปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 ซึ่งถือว่าค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ สะท้อนการพึ่งพาของเศรษฐกิจไทยต่อภาคท่องเที่ยวในระดับสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก (12% ของ GDP) และการคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ จนกว่าการฉีดวัคซีนจะกระจายจนทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ทั้งในไทยและในประเทศที่เป็นแหล่งนักท่องเที่ยวหลักของไทย นอกจากนั้น มีโอกาสสูงที่ GDP ของไทยจะไม่กลับไปสู่ระดับของ trend เดิม และจะเกิด permanent output loss ขนาดใหญ่ โดยพิจารณาจากส่วนต่างในช่วงของระดับ GDP ในกรณีที่ไม่มี COVID-19 เกิดขึ้นเทียบกับระดับ GDP ตามการคาดการณ์ล่าสุดของ IMF และ EIC
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า พบว่า ระดับส่วนต่างของ GDP ระหว่าง 2 กรณีของไทย (output shortfall) อยู่ที่ประมาณ 8-9% ซึ่งถือว่าเป็นช่องว่างที่ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั้งนี้การที่เศรษฐกิจอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับศักยภาพค่อนข้างมากต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้รายได้ การจ้างงาน และกำลังซื้อในประเทศฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ ขณะที่ปัญหางบดุลและฐานะทางการเงินของภาค SME และภาคครัวเรือนจะต้องใช้เวลานานขึ้นในการซ่อมแซม ปัจจัยด้านอุปสงค์เหล่านี้ จะทำให้ปัญหาการว่างงานและการทำงานต่ำระดับระยะยาวมีมากขึ้น รวมทั้งการลงทุนของภาคธุรกิจชะลอลงทำให้การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมายกระดับประสิทธิภาพการผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันมีจำกัด ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อจำกัดด้านอุปทานและการลดลงของอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวได้
EIC ประเมินว่า ภาครัฐอาจพิจารณาใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อลดระดับแผลเป็นทางเศรษฐกิจและ output loss ในระยะสั้น ผ่านการเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนและการประสานงานการเปิดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูให้กับ SME และแรงงานที่มีลักษณะเจาะจงและเชื่อมโยงมากขึ้นทั้งการช่วยเหลือทางการเงิน การสร้างงานและการจับคู่งาน และการลดข้อจำกัดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนผลักดันมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในการรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและโอกาสด้านธุรกิจใหม่ๆ ภายหลัง COVID-19 จบลง ผ่านการลงทุนและการทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการปรับทักษะแรงงาน (upskill/reskill) และการเพิ่มศักยภาพของ SME โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี่ดิจิทัลมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC
โดย : ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center
ธนาคารไทยพาณิชย์ (จำกัด) มหาชน