บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต รายงานผลการดำเนินธุรกิจไตรมาสสามแข็งแกร่ง เบี้ยประกันภัยรับปีแรกเติบโต 7% สะท้อนผลงานความสำเร็จจากแคมเปญการตลาดตอกย้ำแบรนด์แข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าเคียงข้างทุกเงื่อนไขชีวิต
มร.โทมัส วิลสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต เปิดเผยว่า “ไตรมาส 3 ปี 2564 อลิอันซ์ อยุธยา ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทและแนวทางในการดำเนินกลยุทธ์ที่ถูกต้อง โดยสามารถสร้างผลงานเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 22,801 ล้านบาท เติบโตที่ 2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับปีแรกเติบโต 7% อยู่ที่ 4,417 ล้านบาท โดยมาจากช่องทางตัวแทน 1,633 ล้านบาท เติบโต 6% ช่องทางขายผ่านธนาคาร 1,506 ล้านบาท เติบโต 50% ในขณะที่ ช่องทางขายตรง เติบโตลดลง 18% อยู่ที่ 1,107 ล้านบาท ผลงานทั้งหมดนี้ สะท้อนถึงความสำเร็จในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้า ประกอบกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ที่ยึดมั่นในข้อตกลงตามสัญญาที่ได้ให้แก่ลูกค้าทุกราย และพร้อมที่จะปฏิบัติติตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยไปจนครบกำหนดสัญญา”
นอกจากนั้น ในด้านของการให้ความคุ้มครองคนไทยในสถานการณ์โควิด 19 บริษัทมีการจ่ายเคลมตามกรมธรรม์จากสถานการณ์โควิด 19 ตั้งปี 2563 จนถึงปัจจุบันไปแล้วกว่า 15,000 เคส เป็นเงินรวมกว่า 820 ล้านบาท โดยประมาณ 13,800 เคส เป็นค่ารักษาพยาบาลการเจ็บป่วยจากโควิด 19 และประมาณ 940 เคส เป็นการชดเชยจากการแพ้วัคซีน และ ประมาณ 280 เคส มาจากการเสียชีวิต
“แม้จะต้องพบกับสถานการณ์ทีผันผวนจากวิกฤตโควิด-19 ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 จนถึงปีหน้า อลิอันซ์ อยุธยา ยังคงมองอนาคตในเชิงบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเปิดประเทศได้เริ่มขึ้นแล้ว อลิอันซ์ อยุธยา หวังจะได้เห็นคนไทยได้มีความสุขกับสถานการณ์ที่ดีขึ้น หากแต่เราทุกคนยังคงต้อง ระมัดระวังในการใช้ชีวิตประจำวัน การสวมหน้ากากในที่สาธารณะ การรักษาระยะห่างระหว่างกัน และการล้างมืออย่างสม่ำเสมอยังเป็นสิ่งจำเป็น โดยอลิอันซ์ อยุธยา จะมุ่งทำตามพันธสัญญาของเราในการให้ความคุ้มครองคนไทยในทุกเงื่อนไขชีวิต” มร.โทมัส กล่าวทิ้งท้าย
ขณะเดียวกัน กลุ่มอลิอันซ์ ผู้ถือหุ้นหลักของ บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ว่าเป็นไตรมาสที่มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโมเดลธุรกิจของเราสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดเงิน ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2564 ได้ทำผลกำไรไปแล้วถึง 9.9 พันล้านยูโร (หรือประมาณ 3.94 แสนล้านบาท) คิดเป็น 82% ของผลกำไรที่ตั้งเป้าไว้ที่ 1.2 หมื่นล้านยูโร (หรือประมาณ 4.77 แสนล้านบาท) สำหรับปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากทั้งสามกลุ่มธุรกิจ กลุ่มบริหารสินทรัพย์ และกลุ่มประกันชีวิตและสุขภาพ ทำผลงานในไตรมาส 3 ดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับปีอื่นๆ ในช่วงเดียวกัน กลุ่มประกันทรัพย์สินและวินาศภัยยังคงมีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะเผชิญกับภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง
การเติบโตของรายได้ภายใน หลังจากการปรับค่าสกุลเงินต่างประเทศและผลจากการจัดทำงบการเงินรวม เท่ากับ 9.0% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 โดยเป็นผลจากธุรกิจทุกกลุ่ม รายได้ทั้งหมดเพิ่มขึ้น 9.5% เป็น 3.44 หมื่นล้านยูโร (หรือประมาณ 1.37 ล้านล้านบาท) กำไรจากการดำเนินการเพิ่มขึ้น 11.3% เป็น 3.2 พันล้านยูโร (หรือประมาณ 1.27 แสนล้านบาท) จากกลุ่มบริหารสินทรัพย์และกลุ่มประกันชีวิตและสุขภาพ ในกลุ่มบริหารสินทรัพย์ ผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นจากรายได้จากการบริหาร และสัดส่วนของต้นทุน-รายได้ที่ดีขึ้น กลุ่มประกันชีวิตและสุขภาพมีผลกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากอัตราส่วนผลกำไรจากการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น ในกลุ่มประกันภัยทรัพย์สินและวินาศภัย ผลกำไรจากการดำเนินงานยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในภาพรวม เนื่องจากผลของการพิจารณาในการรับประกันภัยที่ดีขึ้นได้รับผลกระทบจากผลของการลงทุนที่ลดลง การแบ่งรายได้สุทธิให้แก่ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 2.3% เป็น 2.1 พันล้านยูโร (หรือประมาณ 8.35 หมื่นล้านบาท) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 การเติบโตที่แข็งแกร่งของกำไรจากการดำเนินการได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการลดลงของผลจากการลงทุนอื่นๆ
ในเก้าเดือนแรกของปี 2564 กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 27.2% เป็น 9.9 พันล้านยูโร (หรือประมาณ 3.94 แสนล้านบาท) ผลกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มประกันชีวิตและสุขภาพเพิ่มขึ้นจากผลกำไรจากการลงทุนที่สูงขึ้นและส่วนบวกเพิ่มที่สูงขึ้น และค่าธรรมเนียมที่เพิ่มมากขึ้น กำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มประกันภัยทรัพย์สินและวินาศภัยเพิ่มขึ้นจากการพิจารณาในการรับประกันภัยที่ดีขึ้น รายได้จากการดำเนินการที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพเชิงต้นทุนที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของกลุ่มบริหารสินทรัพย์ ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินการเพิ่มขึ้น รายได้สุทธิให้แก่ผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นสองหลักเป็น 38.3% จากผลกำไรจากการดำเนินงาน
“นี่เป็นไตรมาสสามที่แข็งแกร่งที่สุดของเรา ผมคิดว่านี่เป็นเครื่องตอกย้ำถึงความสามารถของเราในการให้บริการทั้งลูกค้าและนักลงทุน” มร.โอลิเวอร์ เบเทอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอลิอันซ์กล่าว “สภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายและการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสิ่งที่บริษัทประกันและผู้จัดการสินทรัพย์สามารถให้กับสังคมได้ ตัวเลขที่แข็งแกร่งของเราช่วยพิสูจน์ว่าเราสามารถทำแบบนั้นได้จากการที่เรามีผลการดำเนินงานด้านการเงินที่ดี”
*อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 : 1 ยูโร = 39.75 บาท