“โครงการธนาคารน้ำใต้ดินนี้ สมาคมฯ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 ภายใต้ความร่วมมือของ สถาบันน้ำนิเทศศาสนคุณ โดยพระนิเทศศาสนคุณ (หลวงพ่อสมาน สิริปัญโญ) ได้จัดทำโครงการบริหารจัดการแหล่งน้ำชุมชน เพื่อการมีน้ำใช้อย่างสมดุลและยั่งยืน (ธนาคารน้ำใต้ดิน) ณ ตำบลดูกอึ่งและตำบลเด่นราษฎร์ อำเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด หรือโครงการ “หนองฮีโมเดล” ซึ่งถือเป็นโครงการแรกที่สมาคมฯ ได้ริเริ่มดำเนินการในพื้นที่รวม 30 หมู่บ้าน ประชากร 3,408 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ 78,913 ไร่ ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จและส่งมอบธนาคารน้ำใต้ดิน จำนวน 3,095 บ่อ ให้กับจังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2563 เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ของชุมชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ในปี 2564 คณะกรรมการกองทุนประกันภัยพืชผล สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้อนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อขยายพื้นที่ในการดำเนินโครงการธนาคารน้ำใต้ดินเพิ่มเติมให้ครอบคลุมพื้นที่ในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ โดยคัดเลือกอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพื้นที่เป้าหมายดำเนินงานภายใต้ “โครงการบริหารจัดการแหล่งน้ำชุมชน เพื่อการมีน้ำใช้อย่างสมดุลและยั่งยืน (ธนาคารน้ำใต้ดิน) ในพื้นที่ตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด” ครอบคลุมพื้นที่ 88,862 ไร่ รวม 21 หมู่บ้าน จำนวน 3,286 ครัวเรือน ให้ได้รับประโยชน์ต่อไป
นายอานนท์ วังวสุ กล่าวปิดท้ายว่า “ปัจจุบันการเกิดภัยธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งหรือภัยน้ำท่วม ล้วนส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกระบวนการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร รวมถึงการขาดรายได้จากการประกอบอาชีพ ถึงแม้การประกันภัยข้าวนาปี การประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ จะมีบทบาทสำคัญในการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ประกันภัยก็ถือเป็นการช่วยบรรเทาความเสียหายที่ปลายเหตุ สมาคมฯ จึงได้เข้ามาดำเนินโครงการบริหารจัดการแหล่งน้ำชุมชนเพื่อการมีน้ำใช้อย่างสมดุลและยั่งยืนในรูปแบบของการสร้างเครือข่ายระบบธนาคารน้ำใต้ดินเพื่อให้ประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่สามารถต่อยอดใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า ซึ่งผลจากการดำเนินงานธนาคารน้ำใต้ดินทั้ง 2 โครงการสามารถครอบคลุมพื้นที่ในเขตทุ่งกุลาร้องไห้รวม 2 อำเภอ 3 ตำบล พื้นที่รวมกว่า 167,775 ไร่ ผมเชื่อมั่นว่า โครงการธนาคารน้ำใต้ดินของสมาคมฯ จะสามารถช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง ภัยน้ำท่วม และช่วยเหลือประชาชนรวมถึงเกษตรกรที่ประสบปัญหาทางการเกษตร เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืนตามเจตนารมณ์ของสมาคมฯ ในการเปลี่ยนให้พื้นที่ “ทุ่งกุลาร้องไห้เป็น ทุ่งกุลายิ้มได้” ต่อไป”