ออริจิ้น-กันกุล-บริทาเนีย ต่อยอดสร้างปรากฏการณ์ความร่วมมือนวัตกรรมพลังงานสะอาดในที่อยู่อาศัย กางแผน 3 ปี หนุนหลากโครงการบ้านเดี่ยว “แกรนด์ บริทาเนีย” สู่ “โซลาร์ วิลเลจ” หวังสร้างความยั่งยืนให้ที่อยู่อาศัยสู่ Zero-Carbon Ecosystem ไตรมาส 1/2565 นำร่องติดตั้งโซลาร์รูฟแบบ Private PPA ใน 2 โครงการย่านราชพฤกษ์-พระราม 5 และบางนา กม.12 ก่อนขยายผลต่อเนื่อง ปี 66-67 จ่อนำแอป PARITY เอื้อลูกบ้านซื้อขายพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านบล็อกเชนและ Smart Contract แบบ Peer-to-Peer
“นวัตกรรมพลังงานสะอาดเป็นเมกะเทรนด์ที่เรามุ่งมั่นส่งมอบให้แก่ผู้บริโภคในที่พักอาศัยทั้งในคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร โดยโซลาร์ วิลเลจ จะเป็นโมเดลสำคัญที่เกิดขึ้นกับโครงการบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ในอนาคต ยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภค” นายพีระพงศ์ กล่าว
ด้าน นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI กล่าวว่า แบรนด์แกรนด์ บริทาเนีย มีความเหมาะสมต่อการติดตั้งโซลาร์รูฟและใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากที่อยู่อาศัยในโครงการส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว มีหลังคารูปทรงปั้นหยา ที่สามารถนำแผงโซลาร์เซลหันหน้ารับแสงอาทิตย์ในทิศทางที่เหมาะสมได้อย่างเต็มที่ โดยในเฟสแรกบริษัทจะเริ่มติดตั้งโซลาร์รูฟและนำร่องสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าระยะยาว หรือ Private PPA (Power Purchase Agreement) กับพื้นที่ส่วนกลางโครงการแกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5 และโครงการแกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12 สร้างคุณค่าให้แก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการ ขณะเดียวกันในปี 2565 อาจมีการพิจารณาติดตั้งโซลาร์รูฟในรูปแบบ Private PPA กับโครงการแบรนด์อื่นๆ ที่เป็นไปได้ด้วย โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม
“ความร่วมมือระหว่างผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ และผู้นำด้านพลังงาน จะเป็นก้าวสำคัญที่สร้างความยั่งยืนในการอยู่อาศัยให้เกิดขึ้นได้จริง เป็น ENERGY x URBAN LIVING solution แห่งอนาคต” นายสมบูรณ์ กล่าว
ขณะที่ นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ สายงานกลยุทธ์การลงทุนและนวัตกรรม และ Team lead ของแผนกนวัตกรรมธุรกิจพลังงาน GUNKUL SPECTRUM กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทให้ความสนใจในการทำสัญญาซื้อขายพลังงานเชิงพาณิชย์ซึ่งเป็นหนึ่งในนวัตกรรม Energy-as-a-Service ค่อนข้างมากเนื่องมาจากข้อได้เปรียบของการที่ผู้บริโภคหรือเจ้าของบ้านสามารถเข้าถึงบริการด้านพลังงานได้อย่างหลากหลายโดยไม่มีเงินลงทุนเบื้องต้น ซึ่งบริษัทมองที่จะต่อยอดเฟสถัดไปในปี 2566-2567 เริ่มดำเนินการให้ลูกบ้านได้ทดลองแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงาน (Peer-to-Peer Energy Trading) ที่ผลิตได้จากระบบโซลาร์รูฟของตนเองผ่านทางแอปพลิเคชัน PARITY ที่บริษัทพัฒนาขึ้น โดยนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาสร้างชุดคำสั่งซื้อขายพลังงานอัจฉริยะ (Smart contract) ทำให้ไม่มีพลังงานไหนที่สูญเปล่าแต่สร้างมูลค่าในทุกยูนิตที่ผลิตได้ นับเป็นการให้เจ้าของบ้านได้สัมผัสกับประสบการณ์รูปแบบใหม่ที่เจ้าตัวสามารถบริหารจัดการพลังงานและค่าใช้จ่ายด้วยตัวเองควบคู่กันไปอย่างไร้รอยต่อ เช่นเดียวกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในครัวเรือนอื่นๆ และยังเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ในอนาคตผ่านพลังงานสะอาดอีกด้วย