ธนาคารกสิกรไทย ประเมินแนวโน้มที่กระทบการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยในครึ่งปีแรก 2565 จับตาแรงกดดันจาก 3 ปัจจัยส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก เริ่มมาจากกำลังการผลิตสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงเปิดประเทศ จนทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น บวกกับราคาน้ำมันที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตามด้วยสภาวะสงครามรัสเซียและยูเครน แนะนำปรับพอร์ตลงทุนที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ ด้วยการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือกระจายความเสี่ยงด้วยทองคำ และจับจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้นโดยลงทุนในกลุ่มธุรกิจหรือกองทุนรวม เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
“ด้านที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุดคือ เงินเฟ้อพุ่ง ของแพง ต้นทุนพลังงาน ต้นทุนธุรกิจสูง ในขณะที่ตลาดเงินตลาดทุนของไทยมีความผันผวนมากขึ้น ควรปรับแนวทางการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ โดยทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA) หรือกระจายความเสี่ยงด้วยทองคำภายใต้สัดส่วน 5%-10% และในช่วงดอกเบี้ยขาขี้น ควรลงทุนในกลุ่มธุรกิจหรือกองทุนรวม เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์” ดร. พิพัฒน์พงศ์ กล่าวสรุป