สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ประเมินภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 โดยเชื่อว่าประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ในเชิงสงครามทางกายภาพได้ถูกดูดซับไปในราคาหุ้นแล้ว ด้านความเสี่ยงจากสงครามทางเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินของ FED ยังที่เป็นสิ่งที่ต้องจับตา แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2565 และการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความได้เปรียบเมื่อเทียบประเทศอื่นๆ โดย ASPS คงเป้าหมายดัชนีไว้ที่ 1810 จุด
ส่วนนโยบายการเงินของ FED เชื่อว่าจะเห็นการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยฯ ในการประชุมรอบถัดไปเดือน พ.ค. แต่สิ่งที่ให้น้ำหนักมากกว่าการส่งสัญญาณการปรับลดขนาดงบดุลที่ถือเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ จากปัจจุบันขนาดงบดุลของ FED อยู่ในระดับสูงถึง 9 ล้านล้านเหรียญฯหรือคิดเป็นสัดส่วน 38.8% ต่อ GDP สหรัฐฯ หากส่งสัญญาณการปรับเร็วจนเกินไปอาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้น แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยที่จำกัดโอกาสการเร่งดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ FED ในระดับหนึ่ง
เทิดศักดิ์ กล่าวต่อว่า “หนึ่งในสัญญาณที่สะท้อนความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะถัดไปคือการเกิด Inverted Yield ในตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯอายุ 2 และ 10 ปี ที่ในอดีตที่ผ่านมามักจะเป็นการชี้นำต่อการเข้าสู่ภาวะ Recession ในช่วง 9-14 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากเกิดขึ้นมักจะสร้างความผันผวนต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามในตลาดตราหนี้ไทยยังไม่เกิดภาวะดังกล่าว ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในภาวะฟื้นตัวโดยเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยฯยังอยู่ในระดับต่ำจนถึงปลายปีทำให้แรงกดดันจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ”
ด้านภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2565 ยังมีความได้เปรียบประเทศอื่นๆ จากหลาย Sector ที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำและยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากราคาน้ำมันที่ยืนในระดับสูงกว่าปกติ หนุน EPS65F มี Upside ส่วนเพิ่มราว 4 ถึง 5 บาท/หุ้น โดยฝ่ายวิจัยประเมิน EPS65F ไว้ที่ 88.9 บาท/หุ้น
หากพิจารณามุม Valuation ถือว่าน่าสนใจเพราะอยู่บนระดับ Market Earning Yield Gap (MEYG) ที่ 4.6% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) ซึ่งถือว่าสูงกว่าตลาดหุ้นโลก ถือเป็นจุดดึงดูด Fund Flow ทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดการณ์ทิศทาง SET Index เดือน เม.ย. 65 แกว่งในกรอบ 1660-1750 จุด พร้อมคงเป้า SET Index ณ สิ้นปี 65 ที่ 1810 จุด
กลยุทธ์ แนะนำสะสมหุ้นฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในประเทศ MAJOR, AEONTS หุ้นได้แรงหนุนจากต้นทุนอิงตามราคา Commodity เริ่มชะลอลง GPSC, SAPPE และหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานแข็งแกร่ง SCC, LH
โอกาสและช่องทางการลงทุนในเวียดนาม
ในด้านของตลาดหุ้น ตลาดหุ้นเวียดนามมีลักษณะคล้ายกับตลาดหุ้นไทยในเชิงของกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก เช่น กลุ่มอสังหาฯ กลุ่มบริโภค และกลุ่มธนาคารและการเงิน ในด้านของผลตอบแทน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหลักของเวียดนามอย่าง VNindex ปรับตัวขึ้น 109% สูงกว่าดัชนีหุ้นโลกที่ปรับตัวขึ้น 58%
สำหรับนักลงทุนที่อาจจะยังไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมาก่อน การลงทุนที่เรียกได้ว่าง่ายและสะดวกคือการลงทุนผ่าน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นโฮจิมินห์ หากต้องการลงทุนยาวล้อไปกับเศรษฐกิจเวียดนาม การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ล้อไปกับดัชนี VN 30 (คล้ายกับดัชนี SET 50 ของไทย) ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสม โดยเป็นการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง 30 ตัวแรก และเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจที่นักลงทุนไทยคุ้นเคย เช่น ธนาคาร อสังหาฯ อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น
เตรียมตัวปรับพอร์ตรับความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ดังนั้น จึงแนะนำให้เลือกลงทุนใน หุ้นกลุ่มคุณภาพขนาดใหญ่ (Quality Growth) ที่มีกำไรเติบโตต่อเนื่อง งบการเงินแข็งแกร่ง กองทุนแนะนำ MGFGA, KKP GNP-H และ TMBGQG และรวมไปถึง หุ้นกลุ่มปลอดภัย (Defensive) ที่มักทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงปลายวักฎจักรเศรษฐกิจ เช่น SCBPGF และ KFHHCARE-A