นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ร่วมกับภาครัฐในการดำเนินการโครงการประกันภัยพืชผล ซึ่งได้ขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องจนก้าวเข้าสู่ปีที่ 12 ในปี 2565 นี้ โดยเริ่มต้นด้วยการประกันภัยข้าวนาปี ในปี 2554 และการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในปี 2562 เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากภัยทางธรรมชาติและภัยจากศัตรูพืช ซึ่งนับวันจะยิ่งมีความแปรปรวนและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศนั้น
จากข้อมูลผลการดำเนินงานของโครงการประกันภัยข้าวนาปี (ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565) พบว่า ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเมื่อปี 2554 จนถึงปี 2564 รวม 11 ปี ได้คุ้มครองพื้นที่ปลูกข้าวนาปีเป็นจำนวน 203.9 ล้านไร่ทั่วประเทศ มีเบี้ยประกันภัยเข้าสู่ระบบประกันภัย จำนวน 16,492 ล้านบาท และจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับเกษตรกรไปแล้ว จำนวน 12,911 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน 78% ส่วนผลการรับประกันภัยในปี 2564 ที่ผ่านมา มีพื้นที่รับประกันภัยรวม 43.5 ล้านไร่ จากพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั่วประเทศรวม 60.3 ล้านไร่ คิดเป็นอัตราการเข้าถึง 72% หรือครอบคลุมเกษตรกรราว 3.7 ล้านครัวเรือน โดยมีเบี้ยประกันภัยรวม 3,568 ล้านบาท และจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับเกษตรกรไปแล้ว จำนวน 1,538 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน 43%
- บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)
- บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน)
- บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
- บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
- บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน)
- บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน)
- 7. บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
- 8. บริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน)
- 9. บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน)
- 10. บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน)
- 11. บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จำกัด สาขาประเทศไทย
- 12. บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
- 13. บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)
- 14. บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน)
“โครงการประกันภัยพืชผล เป็นโครงการที่ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยมีเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการบริหารความเสี่ยงให้กับภาคเกษตรกรรมของไทยโดยให้ความร่วมมือและตอบสนองนโยบายของภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเกษตรกรไทยได้มีระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงเพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยทางธรรมชาติและภัยจากศัตรูพืชแล้ว จะช่วยให้สามารถทำการเกษตรได้อย่างมั่นใจ มีความมั่นคงในการประกอบอาชีพมากยิ่งขึ้น และถึงแม้ว่าในบางปีบริษัทประกันวินาศภัยจะประสบกับภาวะขาดทุนจากการรับประกันภัยไปบ้าง แต่ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยยังคงพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไปเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับภาคเกษตรกรรมของไทย” นายอานนท์ วังวสุ กล่าวทิ้งท้าย