ทีดี ตะวันแดง แจงกรณีลงดาบคู่ค้า ร้านถูกดีฯ นอกลู่ ฐานยักยอกทรัพย์
เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ออกโรงตั้งโต๊ะสยบข่าวดราม่ากรณีดำเนินคดีคู่ค้า ร้านถูกดี มีมาตรฐาน โชห่วยนอกลู่ ฐานยักยอกทรัพย์บริษัทฯ พร้อมยืนยัน ทีดี ตะวันแดง ดำเนินธุรกิจ “โปร่งใส ตรวจสอบได้”
นายเสถียร กล่าวว่า บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 โดยมีวิสัยทัศน์ในการสร้างเครือข่ายร้านค้าปลีกของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน ซึ่งจนถึงขณะนี้มีร้านค้าที่เข้าร่วมเป็น ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ทั้งหมดมากกว่า 5,000 ร้านค้า โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจระหว่าง บริษัทฯ และ ผู้ดำเนินการร้านค้า คือ การที่บริษัทฯ จะเป็นผู้ลงทุนให้ในส่วนของสินค้าทุกชนิด และอุปกรณ์ทั้งหมดภายในร้าน ได้แก่ ชั้นวางสินค้า ตู้เย็น เครื่องคิดเงินอัตโนมัติ (POS) ป้ายสินค้า กล้องวงจรปิด ระบบที่ใช้ในการดำเนินการร้านค้า ซึ่งรวมมูลค่าต่อร้านค้าเกือบ 1 ล้านบาท และทางผู้ดำเนินการต้องลงทุนในส่วนของการปรับปรุงร้านค้าให้ได้ตามมาตรฐาน และ เงินค้ำประกันสัญญา 2 แสนบาท ซึ่งรูปแบบธุรกิจนี้เกิดขึ้นมาจากการที่บริษัทต้องการที่จะแก้ปัญหาของร้านโชห่วยส่วนใหญ่ในประเทศที่มีเงินทุนในการซื้อสินค้าจำกัด จึงได้เป็นผู้ออกทุนในส่วนนี้เอง
ผู้ดำเนินการร้านถูกดี มีมาตรฐานกว่า 5,000 ราย ทราบดีว่า สินค้าและอุปกรณ์ในร้านค้า เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ เมื่อขายสินค้าได้ ผู้ดำเนินการมีหน้าที่นำส่งรายได้จากการขายสินค้าให้บริษัทฯ ในวันทำการธนาคารถัดไป และในขณะที่เปิดดำเนินการร้านค้าร่วมกัน ผู้ดำเนินการยินยอมให้บริษัทฯ ส่งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปนับสต๊อกสินค้า หากมีสินค้าสูญหาย ทางผู้ดำเนินการจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งผู้ดำเนินการทุกรายเข้าใจและปฏิบัติเป็นปกติมาตลอด
ในกรณีที่ผู้ดำเนินการไม่นำส่งรายได้ บริษัทจะมีการทวงถาม และเมื่อยังไม่นำส่งรายได้ในส่วนที่ขายเข้ามาเกินกว่า 3 วัน ทางบริษัทฯ จะหยุดส่งสินค้า และหากเกินกว่า 4 วัน บริษัทฯ จะส่งจดหมายแจ้งเตือนให้ชำระเงินภายใน 3 วันทำการ หากไม่มีการชำระเงินเข้ามา บริษัทฯ จะยกเลิกสัญญาทันที และนัดหมายเพื่อทำการขนย้ายอุปกรณ์และสินค้าของบริษัทฯ ทั้งหมดออกจากร้านค้า
กรณีร้านค้าที่เชียงราย ทางผู้ดำเนินการได้เปิดร้านกับถูกดี ในวันที่ 14 ส.ค. 2565 หลังจากเปิดดำเนินการ ทางร้านค้ามีการโอนเงินล่าช้าอย่างต่อเนื่องมากกว่า 80 ครั้ง จาก 130 ครั้ง และในเดือนพฤศจิกายน ทีมนับสต๊อกของบริษัทฯ ได้เข้าตรวจนับสต๊อก และพบว่ามียอดสินค้าสูญหายสูงกว่าส่วนแบ่งรายได้ ทางบริษัทฯ จึงนำรายได้ของร้านค้ามาหักชำระค่าสินค้าสูญหายก่อน ซึ่งไม่พอชำระ ทำให้ไม่มีเงินรายได้ของร้านค้าเหลือให้โอนไปในวันที่ 7 ธันวาคม 2565
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ ได้ส่งหนังสือไปถึงร้านค้าดังกล่าว เพื่อทวงถามการชำระเงินของวันที่ 6-14 ธันวาคม และกำหนดให้ชำระเข้ามาภายใน 3 วัน เมื่อถึงกำหนดชำระและบริษัทฯ ไม่ได้รับเงินดังกล่าว จึงได้ออกจดหมาย ณ วันที่ 22 ธันวาคม เพื่อแจ้งยกเลิกสัญญา และกำหนดเข้าปิดร้านในวันที่ 26 ธันวาคม ต่อมาในวันที่ 25 ธันวาคม เวลา 20.49 น. ทางร้านค้าได้โอนยอดเงินค้างชำระมาให้กับบริษัท ซึ่งการชำระนี้เลยกำหนดที่บริษัทได้ให้กับทางร้านค้าไปแล้ว บริษัทฯ จึงยืนยันเข้าไปปิดร้านตามที่นัดหมายไว้ในจดหมาย แต่ไม่สามารถที่จะเข้าไปเก็บทรัพย์สินของบริษัทฯ ออกมาจากร้านได้ เพราะทางร้านค้าไม่อนุญาตให้พนักงานของบริษัทฯ เข้าไปในร้าน ภายหลังบริษัทฯ พยายามนัดเข้าไปปิดร้านอีกครั้งในวันที่ 17 มกราคม 2566 แต่ในครั้งนี้ก็ไม่สามารถขนย้ายสำเร็จเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อไม่สามารถขนสินค้าและทรัพย์สินของบริษัทฯ ออกมาได้ บริษัทฯ จึงจำเป็นที่จะต้องแจ้งความผู้ดำเนินการในข้อหายักยอก ซึ่งต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจะดำเนินการให้ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกผู้ดำเนินการรายนี้แล้ว
อีกกรณีหนึ่งคือ การที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ สมฤดี สุขสมหวัง ลงข้อความโจมตีบริษัทฯ ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงมาตลอด ตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่าบุคคลนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทฯ ไม่เคยเป็นพาร์ทเนอร์ถูกดี และข้อความที่ปรากฏอยู่บนเฟซบุ๊ก ไม่เป็นความจริงโดยบริษัทฯ ได้ทำการแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทฯ และ นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ไปแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งจากการสืบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบข้อมูลที่สอดคล้องกับการตรวจสอบของบริษัทฯ ว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเพจอวตาร มีการนำรูปบุคคลอื่นมาเป็นรูปโปรไฟล์ของตนเอง และกระจายข่าวอันเป็นเท็จ เพื่อทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสีย จึงขอให้ทุกท่านอย่าหลงเชื่อกับข้อความอันเป็นเท็จของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้
สุดท้ายนี้บริษัทฯ ขอยืนยันว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจกับผู้ดำเนินการร้านค้าจำนวนมาก จึงต้องทำทุกอย่างให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นหลักการที่บริษัทฯ ยึดถือมาตลอดการทำธุรกิจ