บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ หรือ HMPRO เผยผลประกอบการปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 69,389.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,463.64 ล้านบาท หรือ 8.55% โดยมีกำไรสุทธิ 6,217.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 776.57 ล้านบาท หรือ 14.27% การปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ และยังมีการผลักดันยอดขายตลอดทั้งปี ด้วยงาน HomePro Super Expo ทุกสาขาทั่วประเทศ และทางออนไลน์ รวมถึงงาน HomePro Expo และ HomePro Electric Expo งาน HomePro Living Expo และกิจกรรม Double Day ในช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้า ให้กับลูกค้าจากช่องทางการซื้อสินค้า และบริการที่หลากหลายขึ้นอีกด้วย
นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ประจำปี 2565 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 69,389.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,463.64 ล้านบาท หรือ 8.55% โดยมีกำไรสุทธิ 6,217.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 776.57 ล้านบาท หรือ 14.27% ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 65,090.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,522.97 ล้านบาท หรือ 7.47% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการกลับมาเปิดให้บริการทุกสาขา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการผลักดันยอดขายตลอดทั้งปี โดยมีการจัดงาน HomePro Super Expo ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ และทางออนไลน์ รวมถึงงาน HomePro Expo และ HomePro Electric Expo ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี HomePro Living Expo ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และกิจกรรม Double Day ในช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าให้กับลูกค้าจากช่องทางการซื้อสินค้าและบริการที่หลากหลายขึ้น
ทั้งนี้ โฮมโปร ยังมีรายได้จากค่าเช่า 1,720.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 497.43 ล้านบาท หรือ 40.67% และมีรายได้อื่น จำนวน 2,577.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 443.24 ล้านบาท หรือ 20.76% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าทั้งในช่องทางสาขา ช่องทางออนไลน์ และ โฮมโปร มีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้า และการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 17,013.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,370.65 ล้านบาท หรือ 8.76% รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายก็เพิ่มขึ้นจาก 25.83% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.14% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงรายได้จากการบริการที่เพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนค่าขนส่งในการกระจายสินค้าสู่สาขาจะปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันก็ตาม
นายวีรพันธ์ ยังกล่าวต่อไปว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 เริ่มคลี่คลายลง ส่งผลให้ทางภาครัฐ มีการผ่อนคลายมาตรการโควิดต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการเริ่มฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภค ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยบวกในด้านต่างๆ อาทิ การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ และการออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในประเทศจากทางรัฐบาล ได้แก่ โครงการช้อปดีมีคืน โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการคนละครึ่ง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของทางภาครัฐ สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบในเรื่องของเงินเฟ้อได้ส่วนหนึ่ง อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ จากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยบริษัทฯ มุ่งยกระดับการนำเสนอสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงเร่งขยายสาขาเพื่อเพิ่มอัตราการขยายตัวของรายได้และกำไร ควบคู่ไปกับการวางแผนธุรกิจและกลยุทธ์ที่รัดกุมเพื่อรองรับความกดดันและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
ในส่วนของการพัฒนาสินค้า และบริการเพื่อรองรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทฯ ให้ความสำคัญถึงความเข้าใจในเชิงลึกของพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น โดยมีการพัฒนากลุ่มสินค้าใหม่ อาทิ สินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง จากการศึกษาพฤติกรรมและความนิยมเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงของกลุ่มคนปัจจุบันที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงพัฒนากลุ่มสินค้าที่สามารถช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย เช่น แผงโซล่าเซลล์ (Solar Panel) ตลอดจนมีการพัฒนาสินค้าและบริการร่วมกับคู่ค้า โดยให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสังคม จากความสนใจและความตระหนักที่เพิ่มมากขึ้นในประเด็นนี้ของกลุ่มผู้บริโภค อีกทั้งยังมีการให้ความสำคัญในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ทั้งจากข้อมูลภายในและภายนอก เพื่อต่อยอดการพัฒนาออกแบบสินค้าและบริการ ให้ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์และการใช้งานของลูกค้าปัจจุบัน รวมถึงสามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ๆ อาทิ กลุ่มผู้บริโภคเจเนอเรชั่น Y และ กลุ่มลูกค้าธุรกิจ (Business-to-Business: B2B) อีกด้วย
“สำหรับการขยายสาขาในปี 2565 บริษัทฯ เร่งเดินหน้าขยายสาขาทั้งโฮมโปรและเมกาโฮม จากการมองเห็นโอกาสเติบโตทางธุรกิจ โดยเปิดสาขาโฮมโปรใหม่ 2 สาขา ที่ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ทดแทนสาขารังสิตเดิม และ เปิดสาขาลาดกระบัง ทดแทนโฮมโปรเอส สาขาเดอะพาซิโอ ลาดกระบังเดิม โดยเป็นการย้ายสถานที่จากสาขาเดิมมาเปิดในบริเวณใกล้เคียงที่มีพื้นที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงบริษัทฯ มีการปิดสาขาโฮมโปร 1 สาขา ที่ เดอะมอลล์บางแค เนื่องจากสัญญาเช่าหมดอายุลง และบริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกัน อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีการเปิดสาขาเมกาโฮมใหม่ 4 สาขา ที่ พัทยา ฉะเชิงเทรา สุราษฎร์ธานี และ ขอนแก่น ซึ่ง ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ มีโฮมโปร 87 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 18 สาขาโฮมโปรในประเทศมาเลเซียอีก 7 สาขา และโฮมโปรในประเทศเวียดนามที่ยังจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทาง E-marketplace เป็นหลัก” นายวีรพันธ์ กล่าวสรุปในตอนท้าย