เอสซีจี เผยผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2566 เริ่มฟื้นตัวทุกกลุ่มธุรกิจ ยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้น อานิสงส์จากการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักและจีนเปิดประเทศ เร่งสร้างการเติบโตระยะยาว ด้วย SCG Cleanergy ธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจร โตต่อเนื่องตอบเทรนด์รักษ์โลก ปลื้มลดต้นทุนได้ดีจากใช้เชื้อเพลิงทดแทนและพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น ปิโตรเคมีครบวงจร LSP เริ่มทดลองเดินโรงงาน ผลิตเม็ดพลาสติกสู่ตลาดใหญ่ในเวียดนาม
สำหรับตลาดอาเซียน การฟื้นตัวยังไม่เห็นเด่นชัด อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในบางประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป มีความเสี่ยงเข้าสู่การชะลอตัว จากวิกฤติเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และการผันผวนของราคาพลังงาน
เอสซีจี เร่งปรับตัวและร่วมแก้ปัญหาจากปัจจัยเสี่ยงอย่างเต็มที่ โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนและพลังงานแสงอาทิตย์ กำหนดมาตรการใช้น้ำอย่างประหยัดและคุ้มค่า เตรียมแหล่งน้ำในพื้นที่ของบริษัทเพื่อสำรองน้ำ และช่วยเหลือชุมชน มุ่งบรรเทาปัญหาฝุ่นด้วยมาตรการเข้มงวด โดยติดตั้งระบบดักฝุ่น การทำเหมืองแบบ Semi Open Cut โดยมีขอบเขา (Buffer Zone) เป็นกำแพงกันฝุ่น ฉีดพรมน้ำตามเส้นทางขนส่ง และคลุมผ้าใบรถทุกคัน ปลูกต้นไม้รอบพื้นที่เป็นแนวกันฝุ่น (Green Belt) และร่วมกับคู่ธุรกิจ ลดฝุ่นจากงานก่อสร้าง ด้วยการใช้ BIM ในการออกแบบ และหล่อชิ้นงานสำเร็จรูปหรือทำเป็นโมดูลาร์ประกอบที่หน้างาน (Off-Site Construction) ตลอดจนมุ่งเน้นพิจารณาลงทุนอย่างรอบคอบ ปรับใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และออโตเมชั่น เช่น COTTO นำเทคโนโลยีการประมวลภาพ (Image Processing) วิเคราะห์คุณภาพสุขภัณฑ์ เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบสินค้ารวดเร็วมากขึ้น จาก 1 วัน เป็น 1 ชั่วโมง”
นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า “ยอดขายรวมของ SCGC ปรับตัวดีขึ้น จากความพร้อมเเละความสามารถในการปรับตัวตามสภาวะตลาดได้ดี อีกทั้งความต้องการเคมีภัณฑ์ที่สูงขึ้น หลังจากจีนเปิดประเทศ โรงงานระยองโอเลฟินส์ (ROC) จึงเร่งกลับมาดำเนินการผลิตให้ทันต่อความต้องการตลาด ล่าสุด โครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม เริ่มทดลองเดินเครื่องในส่วนพอลิโอเลฟินส์ (PP, HDPE, LLDPE) เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกป้อนตลาดเวียดนาม ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว และจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ในกลางปีนี้ ประกอบกับ LSP มีจุดแข็งในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด ขณะเดียวกัน ธุรกิจยังเดินหน้า SCGC GREEN POLYMERTM นวัตกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ หลังจาก SCGC Green Polymer มียอดขายกว่า 140,000 ตันในปีที่ผ่านมา โดยได้ร่วมกับคู่ธุรกิจระดับโลก อาทิ บริษัท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนา “บรรจุภัณฑ์น้ำหนักเบาจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality Post-Consumer Recycled Resin – PCR)” สำหรับสินค้ากลุ่มแป้ง ภายใต้แบรนด์แคร์ และโพรเทคส์ โดยใช้เทคโนโลยี SMX™ ซึ่งแข็งแรงกว่าพลาสติกทั่วไปถึงร้อยละ 20 แต่ลดน้ำหนักบรรจุภัณฑ์ได้สูงสุดร้อยละ 8 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และร่วมกับ บริษัท SACMI ดีไซน์ “ฝาขวดน้ำอัดลมรักษ์โลก” ที่มีวงแหวนยึดติดกับคอขวด (Tethered Caps) ช่วยลดการหลุดรอดสู่สิ่งแวดล้อม นำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
นายรุ่งโรจน์ เผยว่า “งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ไตรมาส 1 ประจำปี 2566 มีรายได้จากการขาย 128,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน กำไร 16,526 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics ของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำนวน 11,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,369 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ กำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษอยู่ที่ 4,516 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,446 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนพลังงานที่ลดลง
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายลดลงร้อยละ 16 ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจเคมิคอลส์ ขณะที่กำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษลดลง ร้อยละ 42 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณขายและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ รวมทั้งต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 มีรายได้ อยู่ที่ 42,184 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 33 ของรายได้จากการขายรวม
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ทั้งสิ้น 53,468 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 ของรายได้จากการขายรวม
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 มีมูลค่า 923,725 ล้านบาท โดยร้อยละ 44 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (ไม่รวมไทย)
ธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC) มีรายได้จากการขาย 46,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาขายสินค้าและปริมาณขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่ลดลงร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,408 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาขายและปริมาณขายสินค้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ลดลง 2,232 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 50,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน และใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและกลยุทธ์การปรับราคาขายสินค้า ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศและในภูมิภาคอื่น ๆ โดยมีกำไรสำหรับงวด 13,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,972 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Profit) ในไตรมาสนี้เท่ากับ 1,507 ล้านบาท ลดลง 984 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบรวมทั้งพลังงานที่ปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (SCGP) มีรายได้จากการขาย 33,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและธุรกิจเยื่อและกระดาษ และลดลงร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากผลกระทบต่อเนื่องจากนโยบายล็อกดาวน์ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิดในปีก่อนของประเทศจีน ทำให้ความต้องการกระดาษบรรจุภัณฑ์โดยรวมลดลง ซึ่งส่งผลต่อปริมาณการขายและราคาขายที่ลดลงตามไปด้วย ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคหดตัวลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 171 จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนที่ปรับตัวลงโดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่ง พร้อมกับการฟื้นตัวของปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์สำหรับตลาดทั้งในประเทศและส่งออก ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด ลดลงร้อยละ 26 สาเหตุจากปริมาณขายและราคาขายที่ลดลง”
“การเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยถือเป็นสัญญาณดีของปี 2566 หากทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ปัญหา ที่ส่งผลต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ จากต้นทุนพลังงานและไฟฟ้าพุ่งสูง ความเสี่ยงภัยแล้ง และปัญหาฝุ่น PM 2.5 จะช่วยให้ประเทศไทยเราเดินหน้าต่อไปได้ คงความสามารถในการแข่งขัน และรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง” นายรุ่งโรจน์ ย้ำปิดท้าย