ช่วงนี้การเมืองร้อนระอุไม่ต่างกับอุณหภูมิประเทศไทย หัวหน้าพรรคการเมืองเดินสายขึ้นเหนือ-ล่องใต้ ไปอีสาน กันคึกคัก เพื่อหาเสียงช่วยลูกพรรคเก็บคะแนน พื้นที่ไหนไม่เคยได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ต้องโหมกันหนัก หาจุดอ่อนและช่องว่างแทรกตัวเข้าไปให้ได้ ไม่ต่างกับการจัดเวทีประชันวิสัยทัศน์ทางการเมือง (Debate) ที่จัดกันถี่ช่วงนี้ คือ ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่และเชียงราย เป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะได้รับผลกระทบเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 วนเวียนหลายปีต่อเนื่อง พรรคการเมืองใหญ่ ได้ออกมาโชว์นโยบายแก้ปัญหากันแบบเรียกเสียงเฮ ว่ามีทางแก้ปัญหาด้วยการโยน “เผือกร้อน” ให้ “แพะ” ไป หากฟังด้วยสติจะทราบได้ว่าไม่มีพรรคการเมืองใดทำการบ้านอย่างจริงจัง หาข้อมูลทางวิทยาศาตร์มาสนับสนุน และให้ข้อเท็จจริงกับคนไทย
บนเวที Debate พรรคการเมืองต่างฝ่ายพยายามโชว์ “เหนือ” จะจัดการกับกลุ่มทุนใหญ่ที่ทำให้เกิดฝุ่นควันพิษอย่างเด็ดขาด จากการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้านโดยพุ่งเป้าไปที่ประเทศเมียนมา กล่าวหาว่า กลุ่มไม่มีมาตรการตรวจสอบย้อนกลับ ที่ดียืนยันไม่ได้ว่าผลผลิตที่รับซื้อมาจากแหล่งเพาะปลูกนั้นปราศจากการเผาหรือบุกรุกป่าหรือไม่ บ้างก็จะห้ามนำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้าน (แต่อย่าลืมแก้ปัญหาข้าวโพดในประเทศไม่พอใช้ขาดอีก 3 ล้านตัน ด้วย) บ้างก็จะต้องหารือในระดับภูมิภาคอาเซียน เพื่อแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน ทุกพรรคหาเสียงเหมือนท่องจำกันมาด้วยแนวทางที่เกือบจะลอกกันมาเป๊ะ แสดงให้เห็นว่าไม่มีพรรคใดทำการบ้านอย่างจริงจัง และพร้อมเป็นรัฐบาลที่จะขจัดปัญหาให้กับคนไทย
ที่สำคัญรัฐบาลเมียนมา เขาต้องการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนในชาติเช่นกัน เมียนมาในอดีตเคยเป็นผู้ส่งข้าวออกรายใหญ่ที่สุดของโลก ประเทศเขาเต็มไปด้วยทรัพยากร ถ้าเขาจะกลับมาฟื้นฟูประเทศด้านเกษตรกรรม-กสิกรรม ก็ทำได้ไม่ยาก ดังนั้นการส่งออกข้าวโพดน่าจะเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของรัฐบาล และทำทั้งทีต้องดีและถูกต้องตามหลักการสากล ตรงกับความต้องการของตลาดโลก ซึ่งเมียนมากำลังขับเคลื่อนประเทศด้วยจุดแข็งด้านสินค้าเกษตร โดยมีหลายประเทศให้ความช่วยเหลือทั้งด้านเงินทุน นักวิชาการและเทคโนโลยี ทั้ง จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เป็นต้น พรรคการเมืองไทยไม่มีโครงการช่วยเหลือเขา ก็อย่าโจมตีเขาโดยไม่มีข้อเท็จจริง เพราะท่านอาจกำลังถูกจับตาอยู่
ไทยอาจจะได้รัฐบาลใหม่ภายในเดือนกรกฎาคม ปีนี้ ก็จะขอจับตาดูว่าพรรคไหนจะมีนโยบาย “เฉียบ” ในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ถาวรให้กับคนไทยโดยเฉพาะพี่น้องทางภาคเหนือ และจะทำได้ตามที่หาเสียงกันไว้อย่างครึกโครมหรือไม่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าให้เป็นการพูด “พล่อยๆ” พอให้ได้ตำแหน่งแล้วกลับเมิน อย่าให้ประวัติศาสาตร์ซ้ำร้อย ท่านควรมีหลักประกันให้กับคนไทยหากไม่ทำตามปากว่าอนุญาตให้คนไทยตีปากท่านคนละ 1 ที เป็นการชดใช้ให้กับคนไทยกับพฤติกรรมสักแต่พูดของท่าน
***”ไศลพงศ์ สุสลิลา” นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม