KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ประเมินเศรษฐกิจโลกยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ราคาสินทรัพย์ในตลาดแทบทุกประเภทผันผวน นักลงทุนไม่สามารถสร้างผลตอบแทนตามที่คาดหวังได้จากการลงทุนในตลาด จึงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) ล่าสุดร่วมกับพันธมิตรระดับโลกไพรเวทแบงก์จากสวิตเซอร์แลนด์ Lombard Odier (ลอมบาร์ด โอเดียร์) นำเสนอกองทุนหุ้นนอกตลาด (Private Equity Fund) ที่เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งกิจการ หรือ Venture Capital (VC) ผ่านกองทุนเปิด K Global VC PE 23A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (K-GVC23A-UI) เน้นธีมเทคโนโลยี โดยกองทุนนี้ถือเป็นกองทุนแรกๆ ในไทย ที่เน้นลงทุนใน VC เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น หากธุรกิจสามารถพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์หรือบริการได้อย่างประสบความสำเร็จในอนาคต
ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director, Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดทุนกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน จาก 3-4 ปัจจัยหลัก ไม่ว่าจะเป็น อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ดอกเบี้ยทั่วโลกยังไม่แน่นอนว่าอยู่ในช่วงขาลงแล้วหรือยัง ทำให้โอกาสที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยยังคงมีอยู่ และยังมีความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงต้องจับตา ทำให้ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนจึงไม่สามารถสร้างผลตอบแทนตามที่คาดหวังได้จากการลงทุนในตลาด KBank Private Banking ในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุนจึงเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นให้กับนักลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะนำให้นักลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20-25% ของพอร์ตการลงทุน เพราะเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์นอกตลาดจะไม่ผันผวนแต่จะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินการที่แท้จริง จึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนที่นักลงทุนควรจะได้รับ
ล่าสุด KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier นำเสนอกองทุนหุ้นนอกตลาด (Private Equity Fund) ที่เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งกิจการ หรือ Venture Capital (VC) ผ่าน กองทุนเปิด K Global VC PE 23A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หรือ K-GVC23A-UI ลงทุนในหุ้นนอกตลาดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งกิจการ ในธีมเทคโนโลยีที่มีศักยภาพและมีโอกาสประสบความสำเร็จในอนาคต เช่น เทคโนโลยีเพื่อการบริโภค เทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพ หรือเทคโนโลยีเพื่อต่อยอดและยังกระจายลงทุนในกว่า 300 ธุรกิจทั่วโลก ทั้งในยุโรป 45% สหรัฐอเมริกา 35% และเอเชีย 20%
ดร.ตรีพล กล่าวเสริมว่า ธุรกิจในกลุ่มเทคโนโลยีเป็นที่น่าจับตาในช่วงนี้ เพราะในปีที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก ได้กดดันราคาสินทรัพย์กลุ่มเทคโนโลยีทั้งในและนอกตลาดให้ปรับตัวลง จึงเป็นบรรยากาศและโอกาสที่ดีสำหรับการเข้าลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี ด้วยระดับราคาและปัจจัยพื้นฐานที่น่าสนใจมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าลงทุนในธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงเริ่มก่อตั้งกิจการ ก่อนที่ธุรกิจจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะสามารถสร้างมูลค่าได้สูงกว่า ตัวอย่างเช่น บริษัท Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ช่วงที่ดำเนินธุรกิจก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่ากิจการที่เพิ่มขึ้นถึง 307 เท่า ขณะที่กิจการของ Alphabet ช่วงหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพียง 52 เท่า อย่างไรก็ดี การเลือกลงทุนในธุรกิจก่อนเข้าตลาด โดยเฉพาะในช่วงแรกของกิจการ แม้จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ จึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชา วิเคราะห์ธุรกิจในเชิงลึก และผ่านกระบวนการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม
ดร.ตรีพล กล่าวปิดท้ายว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน ทำให้โอกาสลงทุนในหุ้นนอกตลาดมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะหลายบริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่องระยะสั้น จากยอดขายไม่ขยายตัว ต้นทุนสูงขึ้น และกำไรลดลง ทำให้มีความต้องการหาพันธมิตรหรือเพิ่มทุน นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่กองทุนหุ้นนอกตลาดจะเข้าลงทุนในบริษัทคุณภาพดีในราคาที่ต่ำลง เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างกำไรได้ในอนาคต KBank Private Banking เชื่อว่าการลงทุนในกองทุน K-GVC23A-UI จะช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนจากสินทรัพย์ดั้งเดิมอย่างหุ้นและตราสารหนี้ และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนได้