บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) รายงานผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโต 3 เท่า ที่ 7.1 พันล้านบาท สร้างบรรทัดฐานใหม่สำหรับผลกำไรสุทธิประจำปี สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท
จากการเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมการบริการและการท่องเที่ยวที่มีธุรกิจใน 63 ประเทศ MINT ได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทวีปยุโรป ในขณะเดียวกันกับการฟื้นตัวของการเดินทางในประเทศไทย สำหรับไตรมาส 4 ปี 2566 MINT สรุปผลการดำเนินงานประจำปีด้วยผลกำไรจากการดำเนินงานที่สูงเป็นจำนวน 2.5 พันล้านบาท เป็นการเติบโตที่สูงอย่างน่าประทับใจที่ร้อยละ 77 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยวิธีการเทียบแบบบรรทัดฐานเดียวกัน (Like-for-like) และการเติบโตของกำไรของบริษัทมาจากธุรกิจหลักในทุกภาคส่วน
MINT เริ่มต้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 โดยมีรายได้จากห้องพักในเดือนมกราคมและรายได้จากการจองห้องพักล่วงหน้าในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมสูงกว่าระดับของปี 2566 ถึงร้อยละ 39 สำหรับประเทศไทยและที่ร้อยละ 20 สำหรับทวีปยุโรป แนวทางของ MINT ในการสร้างผลกำไรและการเติบโตที่มีความยืดหยุ่นในปี 2567 ได้รับการสนับสนุนจากความมุ่นมั่นในการเพิ่มมูลค่าที่สูงให้กับผู้ถือหุ้น รวมไปถึงลูกค้าอีกด้วย
พัฒนาการที่ผ่านมาของ MINT เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อการขยายธุรกิจสู่เวทีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่สำคัญระดับนานาชาติ อาทิ การเพิ่มโรงแรมรับจ้างบริหาร 3 แห่งในกรุงปารีสภายใต้เอ็น เอช และเอ็นเอช คอลเลคชั่น การเปิดตัวโรงแรมหรูภายใต้อนันตราในกรุงเวียนนา และการเปิดตัวของเอ็นเอช คอลเลคชั่นในเฮลซิงกิ นอกจากนี้แผนการขยายโรงแรมที่แข็งแกร่งของ MINT ยังรวมการเปิดตัวของอนันตราและอวานีในราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ควบคู่ไปกับการเปิดโรงแรมใหม่ในตลาดตะวันออกกลางที่ MINT มีการเติบโตอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแผนการเปิดตัวโรงแรมรับจ้างบริหารในประเทศจีนหลายแห่งเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ในส่วนของ ไมเนอร์ ฟู้ดยังเสริมความแข็งแกร่งในอาเซียนด้วยการเปิดร้านอาหารแฟรนไชส์ในเวียดนามและสิงคโปร์ภายใต้ซิซซ์เลอร์, เดอะคอฟฟี่ คลับ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ยิ่งไปกว่านั้น MINT ได้เข้าซื้อกิจการแดรี่ ควีนเพื่อดำเนินงานในอินโดนีเซีย และเปิดตัว เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์ และกาก้า ทั้งนี้แผนทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการขยายธุรกิจสู่ตลาดที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะตลาดภายในกลุ่มอาเซียน
เป้าหมาย 3 ปี ข้างหน้าของ MINT ไม่เพียงแต่จะเพิ่มส่วนของกำไรแต่จะมีส่วนเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ เงินสดดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในแผนการลดหนี้ โดยตั้งเป้าไปที่การลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจาก 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2566 เป็น 0.8 เท่าภายในสิ้นปี 2567 กลยุทธ์ดังกล่าวในสภาวะดอกเบี้ยสูงจะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของกำไรให้กับบริษัท สถานะการเงินของ MINT ที่แข็งแกร่งขึ้นจะสามารถส่งเสริมให้บริษัทมุ่งเน้นไปที่โอกาสสำคัญในการเติบโตด้วยการผสมผสานกับการเติบโตด้วยรูปแบบ Asset light
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวด้วยความตื่นเต้นถึงความสำเร็จที่บริษัทได้รับโดยกล่าวว่า “ผมมีความยินดีที่จะรายงานผลประกอบการที่ดีเยี่ยมของเราสำหรับปี 2566 รายงานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทและการทำงานอย่างเต็มที่ของทีมเราทุกคนใน 63 ประเทศ สำหรับก้าวต่อไปเรายังคงมุ่งเน้นไปที่การขยายอาณาจักร ส่งเสริมการเติบโตแบบยั่งยืน และการลดหนี้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียกับบริษัทในระยะยาว”