กิฟฟารีน เปิดแผนปี 2567 ปีที่ก้าวเข้าสู่ปีที่ 29 ของกิฟฟารีน บริษัทขายตรงสัญชาติไทย ที่ธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง ลั่น! พร้อมลุยเต็มสูบ ทั้งขยายฐานลูกค้า-นักธุรกิจกิฟฟารีนสู่ Young Generation และช่องทางขายออนไลน์ โดยใช้ 2 กลุ่มสินค้าเรือธง ดันยอดสิ้นปี 2567 โตไม่น้อยกว่า 4-5%
นายพงศ์พสุ อุณาพรหม รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่เพื่อการเติบโตองค์กร บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2567 เป็นปีที่กิฟฟารีน ครบรอบ 28 ปี ก้าวเข้าสู่ปีที่ 29 โดยได้จัดงาน “Giffarine 28 th Anniversary Gorgeous Gala Dinner” ฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนก.พ. 2567 นี้ ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 29 อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง ภายใต้การปรับตัวแบบ 360 องศา โดยแผนปีนี้ กิฟฟารีนยังคงเน้นพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม อาทิ สกินแคร์ โปรตีนวีแกน ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักและทดแทนมื้ออาหาร ซึ่งเป็นหมวดสินค้าขายดีของกิฟฟารีน โดยจะใช้งบทำการตลาดสำหรับกลุ่มสินค้าสกินแคร์ประมาณ 30 ล้านบาท และกลุ่มโปรตีนวีแกนและผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารอีก 20 ล้านบาท พร้อมปรับโฉมสำนักงานธุรกิจในภูมิภาคหลักๆ และทำตลาดเชิงรุกในช่องทางออนไลน์เต็มกำลัง เพื่อหวังนำเสนอธุรกิจให้ทัชใจคนรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อจูงใจให้คนรุ่นใหม่ หรือ Young Generation หันมาร่วมธุรกิจกับกิฟฟารีน ตั้งเป้าสิ้นปี 2567 สัดส่วนนักธุรกิจกิฟฟารีนจะมีคนรุ่นใหม่ หรือ Young Generation เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% จากที่กิฟฟารีนมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นทุกปีๆ ละ 5,000-10,000 รหัส
ทั้งนี้ ที่รุกหนักในช่องทางออนไลน์ พร้อม re-organize สำนักงานธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคหลักๆ ให้กลายเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ทันสมัย และเป็นร้านค้า display ก็เพื่อต้องการเจาะเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ รวมถึงกลุ่ม Young Generation เพิ่มขึ้น เพราะเชื่อว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ จะช่วยขยายฐานให้กับกิฟฟารีนได้กว้างขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และช่วยผลักดันยอดรายได้รวมของกิฟฟารีนเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสิ้นปี 2567 คาดว่าจะทำได้เติบโตไม่น้อยกว่า 4-5% จากปี 2566
“การแข่งขันของธุรกิจขายตรงยังรุนแรงต่อเนื่องไม่มีแผ่ว ซึ่งนอกจากแข่งกันเองในธุรกิจขายตรงแล้ว ยังต้องแข่งกับผู้ประกอบการค้าปลีกด้วย ทำให้การทำตลาดจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ต้องทำการตลาดเชิงรุกรอบด้าน ในส่วนของกิฟฟารีน จะทำตลาดแบบเน้นความต้องการของลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่ง โดยจะมุ่งเน้นผลิตสินค้าที่ลูกค้าและผู้บริโภคต้องการมากที่สุด ยิ่งปัจจุบันกำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ค่อยดี ยังระวังการใช้จ่ายเงิน และเลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพก่อน ขณะที่สินค้าที่อยากได้ จะยอมควักเงินซื้อในปริมาณที่เหมาะสม และมองเรื่องความคุ้มค่า ความจำเป็นก่อน กิฟฟารีนก็ยิ่งต้องลุยเต็มสูบ เพื่อเจาะให้ตรงใจตรงความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด”
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทย และเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังไม่ดี จากปัจจัยหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องสงคราม และท่าทีของประเทศมหาอำนาจที่สามารถสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้ ซึ่งไม่ง่ายกับการทำตลาด และสร้างยอดขายตูมตามในปี 2567 นี้ แต่กิฟฟารีนก็ยังจะบุกเต็มกำลัง โดยชู 2 กลุ่มสินค้าเรือธง คือ กลุ่มสกินแคร์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร