ชูจุดแข็งความเชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์ส่องสว่างและผู้นำเสาไฟฟ้าอัจฉริยะ โดยจะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี IOT เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีธุรกิจแสงสว่าง ขายไอพีโอ 55 ล้านหุ้น เตรียมเข้าเทรด mai ในวันที่ 17 พ.ค.นี้
นายภัฏ ตรัส โฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS เปิดเผยว่า LTS มีวัตถุประสงค์การเข้ามาระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารงาน โดยต้องการระดมทุนเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และขยายโชว์รูม รวมทั้งโกดังสินค้า ขยายกิจการให้มีความแข็งแกร่งขึ้น รองรับการขายสินค้าแก่โครงการขนาดใหญ่ของบริษัทฯในอนาคต ปัจจุบัน LTS มีรายได้จากการการขายอุปกรณ์ส่องสว่างและอุปกรณ์เสริมสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ส่องสว่าง เช่น โคมไฟฟ้า ไฟสปอตไลท์ ไฟเพื่อการตกแต่ง แก่ลูกค้า 3 กลุ่มหลักคือ 1) ลูกค้าสถาปนิกหรือผู้รับเหมา 2) ลูกค้าโครงการรัฐบาล รัฐวิสาหกิจและเอกชนขนาดใหญ่ และ 3) ลูกค้าค้าส่งและค้าปลีก ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านทางพนักงานขายและช่องทางออนไลน์
ในการนี้ ได้แต่งตั้งให้ บริษัท ออพท์เอเซีย แคปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท (FA) และ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ พร้อมกับดำเนินการนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (Roadshow) ในวันที่ 8 พ.ค.2567 เพื่อแสดงให้เห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ ตอกย้ำการเป็นผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ติดตั้งและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าส่องสว่าง รวมถึงงานออกแบบระบบเทคโนโลยีควบคุมอุปกรณ์ Internet of Things (IOT) ชั้นนำของประเทศไทย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LTS ยังระบุว่า ในอนาคตยังสามารถขยายธุรกิจเพื่อรองรับโครงการขนาดใหญ่ของบริษัทฯ อาทิ สวนสาธารณะอัจฉริยะ โครงการ smart pole, โครงการ smart city, โครงการ smart street light และ โครงการในอนาคตสำหรับ IT Solution โดยบริษัทจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาและจำหน่ายชุดคำสั่งต่าง ๆ ให้แก่องค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย ภาครัฐ และภาคเอกชน โดยมีการบริการแบบครบวงจร ซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ด้าน Subscription เป็นการซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมมาเพื่อจัดจำหน่ายต่อเพื่อให้ลูกค้าสมัครใช้บริการในรูปแบบรายเดือนหรือรายปี 2) Software Development เป็นการพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาจากทีมงานของบริษัทซึ่งจะมีทั้งการขายสิทธิ์โปรแกรมให้แก่ลูกค้าหรือการให้เช่าใช้โปรแกรม และ 3) General Service เป็นบริการให้คำแนะนำในการใช้โปรแกรมที่บริษัทให้บริการ รวมถึงการบริการอบรมพนักงานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศรวมอยู่ด้วย
“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคภายในไตรมาส 2/2567 นี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการขยายธุรกิจใหม่ ๆ ทางด้าน IOT เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทให้เป็น One Stop Service รวมถึงยังเสริมความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าและพันธมิตร ที่จะทำให้เห็นว่า LTS ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกด้วย” นายภัฏ กล่าวในที่สุด
สำหรับโครงสร้างรายได้และกำไรของ LTS ในปี 2564 มีรายได้รวมประมาณ 163 ล้านบาท และมีกำไร 0.72 ล้านบาท ในปี 2565 มีรายได้รวมประมาณ 232 ล้านบาทและกำไร 15.01 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2566 มีรายได้รวม 227 ล้านบาท และกำไร 31.43 ล้านบาท ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่รายได้มาจากการจัดจำหน่ายให้กลุ่มลูกค้าผู้รับเหมาหรือสถาปนิกการและจำหน่ายลูกค้าโครงการขนาดใหญ่เป็นหลัก แต่ในปี 2566 เป็นปีแรกที่มีรายได้จากธุรกิจ IT Solutions เข้ามาเสริมด้วย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไป
ด้าน นางสาววีรยา ศรีวัฒนะ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของ LTS เปิดเผยว่า ปัจจุบัน LTS มีทุนจดทะเบียนจำนวน 103,300,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 75,800,000 บาท (ก่อนเสนอขายหุ้น IPO) โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 55,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.62% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
นางสาววีรยา ยังระบุว่า กำหนดการเปิดจองซื้อสำหรับนักลงทุน ระหว่างวันที่ 9,10, 13 พฤษภาคม 2567 โดยมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “LTS”
ทั้งนี้ได้กำหนดสัดส่วนการเสนอขายหุ้น ดังนี้ 1.เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ประมาณ ไม่น้อยกว่า 46,200,000 หุ้น 2.เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัทและบริษัทย่อย ประมาณไม่เกิน 4,400,000 หุ้น และ 3.เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานและ/หรือบุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัทและบริษัทย่อย ประมาณไม่เกิน 4,400,000 หุ้น โดยมีราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปที่ราคา 3 บาท/หุ้น มูลค่าการเสนอขาย 165,000,000 บาท ทั้งนี้ราคาเสนอขายดังกล่าว คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings ratio : P/E) ประมาณ 19.72 เท่า จากจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 206,600,000 หุ้น และกำไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2566 ถึง ไตรมาส 4 ปี 2566) ซึ่งเท่ากับ 31.43 ล้านบาท