SCGD เผยแผนรุกธุรกิจระยะยาว เสริมแกร่งยิ่งขึ้น รายได้โต 2 เท่าตามเป้าในปี 2030 ใช้ข้อได้เปรียบด้านวิจัย พัฒนานวัตกรรมสินค้าคุณภาพเยี่ยม ผลิตต้นทุนต่ำ ช่องทางจำหน่ายหลากหลายใน 4 ประเทศหลัก ไทย-เวียดนาม-ฟิลิปปินส์-อินโดฯ ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ใน ประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ตั้งงบฯ ลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาทรวม Merger and Partnership เร่งเครื่องเพิ่มโรงงานกระเบื้อง สุขภัณฑ์ในเวียดนาม รองรับตลาดภูมิภาคดีมานด์พุ่ง พัฒนา และออกสินค้าใหม่ตามเทรนด์ตลาด เสิร์ฟนวัตกรรมสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง (Complementary) มาแรง โดนใจลูกค้า อาทิ ปูนกาวยาแนว ท็อปเคาน์เตอร์ครัว บานประตูหน้าต่าง พร้อมขับเคลื่อนกลยุทธ์กรีน รักษ์โลกและลดต้นทุน ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพร้อยละ 46 พลังงานแสงอาทิตย์ร้อยละ 15 ในปี 2030 ตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ปี 2050
SCGD จัดทัพธุรกิจเพื่อความแข็งแกร่งตลอดมา มั่นใจใน แผนธุรกิจเชิงรุกที่เน้นโตตอบเทรนด์โลก ผลักดันราคาขาย ผ่านการเป็นผู้นำเทรนด์ เสริฟสินค้านวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ที่คุ้มค่าตอบโจทย์ลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ เช่น “Smart Flexible by COTTO หรือ LT by COTTO” นวัตกรรมวัสดุปูพื้น SPC ที่ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก ป้องกันปลวก ป้องกันน้ำ 100% ลวดลายสวยงาม สัมผัสเสมือนธรรมชาติ
ขณะเดียวกันยังพัฒนากระบวนการผลิตให้ลดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีกระบวนการเผาทำให้ไม่มีการปล่อย CO2 เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเปิดไลน์การผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนขนาดใหญ่ที่ประเทศเวียดนามและไทย เนื่องจากตลาดมีการเติบโตสูง ปลายปี 2024 มีกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนกว่า 14 ล้านตารางเมตร อีกทั้งโครงการลดต้นทุนที่ยังทำอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อต้นทุนการผลิตที่ลดลง
ส่วนแผนระยะยาว (ปี 2025-2030) เน้นโตอย่างแข็งแกร่ง ยั่งยืน และลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้เป็น 2 เท่า ตามเป้าที่ตั้งไว้ภายในปี 2030 เตรียมงบประมาณเพื่อโครงการลงทุน (Merger and Partnership) กว่า 7,000 ล้านบาท สำหรับโรงงานผลิตกระเบื้อง สุขภัณฑ์ในประเทศเวียดนาม และขยายสินค้าที่เกี่ยวข้อง (Complementary) ขณะเดียวกันได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุน (CAPEX) กว่า 13,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด พัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับความต้องการของตลาด เช่น การตั้งโรงงานผลิตกระเบื้องทางภาคใต้ของประเทศเวียดนาม เพิ่มสมรรถนะโรงงานกระเบื้องแต่เดิม และเพิ่มสัดส่วนการผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนขนาดใหญ่จากร้อยละ 20 ในปี 2024 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดเป็นร้อยละ 50 ภายในปี 2030 ติดตั้ง Hot Air Generator การใช้ชีวมวล หรือ Biomass เพื่อมาผลิตลมร้อน แทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิต และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อทดแทนการใช้ไฟฟ้าในการผลิตเพิ่มเติม เพื่อเสริมความสามารถการแข่งขันให้โดดเด่นขึ้น
“บริษัทฯ มุ่งมั่นรักษาความเป็นผู้นำในสินค้าวัสดุตกแต่งพื้นผิว โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนา นักออกแบบมืออาชีพ และนักการตลาดชั้นนำร่วมกันระดมสมองพัฒนานวัตกรรมสินค้า โซลูชัน ตอบเทรนด์โลกเพื่อรุกตลาดใหม่ ๆ อยู่เสมอ ขณะเดียวกันยังเตรียมกลยุทธ์ตั้งรับสินค้านำเข้าด้วยการใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนของฐานการผลิตที่ประเทศเวียดนาม รวมทั้งคัดสรรสินค้านำเข้าคุณภาพดีจากทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์” นายนำพลกล่าว