กิฟฟารีนฉลองปีที่ 29 ด้วยแผนรุกตลาดช่วงท้ายปี 2567 เปิดตัว “Giffarine Flagship Store” สาขาภูเก็ต เจาะกลุ่มลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมขยายฐานลูกค้าและนักธุรกิจเต็มกำลัง ปัจจุบันมีแฟล็กชิพสโตร์ทั่วประเทศกว่า 102 แห่ง ย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ MLM สัญชาติไทยที่จริงใจ พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพอย่างสู่ผู้บริโภค
การปักหมุดหมายใหม่ ด้วยการเปิด กิฟฟารีน แฟล็กชิพ สโตร์ สำนักงานธุรกิจสาขาภูเก็ต ครั้งนี้ นอกจากต้องการเพิ่มช่องทางขายในตลาดเมืองท่องเที่ยวแล้ว ยังต้องการปูพรมรับทัพนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ตด้วย ทั้งนี้ สาขาภูเก็ต นอกจากจะมีสินค้าครบครันในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้ง 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 2.กลุ่มสกินแคร์และผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกาย 3.กลุ่มเครื่องสำอางสีสัน เมคอัพ 4.กลุ่มผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก 5.กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและสวัสดิการ 6.กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับครัวเรือน ซึ่งคาดว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวจีน และกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทย ที่เป็น FC ของแบรนด์กิฟฟารีนได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีความทันสมัยในเรื่องของการบริการด้วย โดยจะให้บริการทั้งระบบออฟไลน์ ออนไลน์ กับสมาชิกผู้บริโภคและนักธุรกิจกิฟฟารีน ซึ่งปัจจุบันกิฟฟารีน มีจำนวนนักธุรกิจกิฟฟารีนกระจายอยู่ทั่วประเทศมากถึง 8.9 แสนรหัส และคาดว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 8,000-10,000 รหัส ขณะที่จำนวนสินค้ามีให้บริการมากกว่า 2,000 รายการ ใน 6 กลุ่มสินค้า โดยสินค้าที่ขายดียังเป็น 1.กลุ่มสกินแคร์ 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ 3.กลุ่มวีแกนโปรตีนและผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร
นายพงศ์พสุ กล่าวว่า ตลอด 28 ปี จากเดือนมี.ค.2539 – ม.ค.2567 กิฟฟารีนมีผลประกอบการรวมทะลุ 102,173 ล้านบาท ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจมากๆ ซึ่งเป็นผลจากกิฟฟารีนมีความเข้าใจคนไทย ทั้งในเรื่องงานขาย และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามครบวงจร รวมถึงการปรับกระบวนทัพทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ใหม่ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายตัวจริงเรื่องซีรั่มของกิฟฟารีนด้วย
“การแข่งขันของธุรกิจขายตรงยังรุนแรงต่อเนื่องไม่มีแผ่ว ซึ่งนอกจากแข่งกันเองในธุรกิจขายตรงแล้ว ยังต้องแข่งกับผู้ประกอบการค้าปลีกด้วย ทำให้การทำตลาดจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ต้องทำการตลาดเชิงรุกรอบด้าน ในส่วนของกิฟฟารีน จะทำตลาดแบบเน้นความต้องการของลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่ง โดยมุ่งเน้นผลิตสินค้าที่ลูกค้าและผู้บริโภคต้องการมากที่สุดเป็นหลัก” นายพงศ์พสุ กล่าวทิ้งท้าย