โกมล แรงกล้า ผู้นำทัพ Rodenstock เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเลนส์แว่นตาด้วยนวัตกรรมสุดล้ำ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ พร้อมจับมือพันธมิตรเสริมแกร่ง รุกขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าสร้างการเติบโต 16% ภายในปี 2025
เปิดไตรมาสแรกของปี 2568 ตลาดเลนส์แว่นตาในไทย ก็เริ่มคึกคักขึ้นมาทันที ด้วยเหตุผลด้านไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่มีกิจกรรมหลากหลาย บวกกับพฤติกรรมการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้คนไทยมีปัญหาสายตามากขึ้นตามไปด้วย ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ สอดรับไปกับที่ นายโกมล แรงกล้า Country Manager Rodenstock Thailand เผยถึงสถานการณ์ปัญหาด้านสายตาของคนเอเชีย โดยเฉพาะคนไทย ที่พบมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดว่า “ปัจจุบันไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไป มีการใช้งานหน้าจอต่าง ๆ มากขึ้น ในทุกวัย ทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็ก นักเรียน นักศึกษา คนทำงาน และกลุ่มผู้สูงอายุ คนไทยใช้สายตาไปกับการมองหน้าจอ เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมง/วัน ความต้องการ การใช้เลนส์แว่นตาก็เพิ่มสูงขึ้น เพื่อแก้ปัญหาภาวะสายตาสั้นในปัจจุบัน นอกจากนี้ ประมาณ 40% ของประชากรทั้งหมดมีอายุมากกว่า 45 ปี ซึ่งก็เป็นกลุ่มที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เลนส์โปรเกรสซีฟ เพื่อให้สามารถมองได้ชัดในทุกระยะการใช้งาน เลนส์โปรเกรสซีฟ จึงเป็นที่นิยม และมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ตลาดเลนส์แว่นตา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกๆปี”
เมื่อมีการขยายตัวของตลาดเลนส์แว่นตาในไทย ทำให้แบรนด์ Rodenstock ที่มีความพร้อมในการแข่งขัน ทั้งในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ตั้งเป้าเดินหน้าทำตลาดในไทย นายโกมล แรงกล้า ได้กล่าวว่า “กว่า 140 ปีของการก่อตั้ง บริษัทฯ ได้มุ่งเน้นที่จะคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสร้างสรรค์เลนส์แว่นตาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สวมใส่แว่นตาทั่วโลก เราใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในแบบฉบับของวิศวกรรมเยอรมัน ในการออกแบบและผลิตเลนส์ จึงทำให้ได้เลนส์ที่มีคุณภาพสูง และยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้สวมใส่แว่นตาในปัจจุบัน สำหรับตลาดในประเทศไทย Rodenstock ได้เริ่มเข้ามาทำการตลาดตั้งแต่ปี 2548 โดยมุ่งเน้นเป็นพันธมิตรกับร้านแว่นตาชั้นนำในประเทศ เพื่อส่งมอบเลนส์แว่นตาคุณภาพดีที่สุดเพื่อผู้บริโภค
Rodenstock เราเข้าใจความต้องการผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ต้องการเลนส์แว่นตาที่มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์การใช้สายตาในชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด เราได้คิดค้น เทคโนโลยี DNEye® ซึ่งสามารถสแกนค่าทางชีวภาพ (Biometric) ของดวงตา แล้วนำข้อมูลต่าง ๆ หลายพันจุดที่วัดได้ มาใช้ในการออกแบบเลนส์แว่นตาเฉพาะบุคคล Biometric Lens ที่มอบความคมชัดที่สุด ในทุกระยะการใช้งาน และทุกมุมมอง ให้ความสบายตาขณะสวมใส่ เรายังมีนวัตกรรมการเคลือบผิวเลนส์ใหม่ล่าสุด LayR Technology ที่ช่วยเพิ่มความคมชัด ความแข็งแรง ทนทาน ให้สามารถใช้งานเลนส์แว่นตาได้ยาวนานขึ้น อีกทั้ง นวัตกรรมเลนส์เปลี่ยนสีอัตโนมัติ Colormatic® ที่เข้ามาช่วยปกป้องดวงตาจากแสง UV แสงสีฟ้า และแสงจ้าช่วยถนอมดวงตา และสามารถใช้งานเลนส์แว่นตาได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในที่ร่มหรือกลางแจ้งอีกด้วย”
กลุ่มลูกค้าที่เป็นฐานสำคัญของแบรนด์ นายโกมล แรงกล้า เผยอีกด้วยว่า เป็นกลุ่มผู้บริโภคอายุ 45 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มฐานลูกค้าหลักที่สำคัญในปัจจุบัน และในปีนี้ Rodenstock จะเพิ่มการสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคช่วงอายุ 25 – 45 ปี มากขึ้น เพื่อให้ได้มีโอกาสได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ และการมองเห็นที่ยอดเยี่ยมจากการใช้เลนส์ Rodenstock อีกด้วย
“เรายังคงความเป็นจุดแข็งของแบรนด์ Rodenstock ในด้านคุณภาพ และเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีเลนส์เฉพาะบุคคล ที่ทำให้ผู้บริโภคไว้วางใจและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของเรามาอย่างต่อเนื่อง Rodenstock จึงมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะเป็นพันธมิตรที่ดีเยี่ยม กับร้านแว่นตาคุณภาพชั้นนำในประเทศไทย สิ่งที่ Rodenstock แตกต่างชัดเจนจากแบรนด์ทั่ว ๆ ไป คือ เทคโนโลยีที่ใช้ในการออกแบบเลนส์ ที่มีการนำเอาค่าทางชีวภาพของดวงตาในแต่ละคน (Biometric Data Set) มาใช้ในการออกแบบและผลิตเลนส์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Rodenstock ในปัจจุบัน เลนส์ที่ได้จึงเป็นเลนส์เฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง เราเชื่อว่าทุก ๆ ดวงตา มีความแตกต่าง เลนส์จึงต้องออกแบบมาให้เข้ากันกับดวงตาในแต่ละคู่จริง ๆ จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้งาน ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ไว้วางใจ เพราะเลนส์ Rodenstock เป็นเลนส์ที่มีคุณภาพสูง เป็นแบรนด์ที่มีการยอมรับทั่วโลก ตอบโจทย์เรื่องความคมชัด และใส่สบาย”
นอกจากนี้ นายโกมล แรงกล้า ยังได้กล่าวปิดท้ายอีกว่า “ผมยังมุ่งเน้นที่จะพัฒนาและสร้างทีมงานที่มีคุณภาพ ทั้งความสามารถและการบริการที่ดี เพื่อตอบโจทย์ในด้านกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตร และพร้อมรับมือกับการแข่งขันทางการตลาดที่มีสูงขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อเราทำได้ดี Rodenstock ก็จะเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของร้านแว่นตาอย่างแท้จริง”