PTG กำไรพุ่ง! ปี 67 แตะ 1.04 พันลบ. น้ำมันทุบสถิติใหม่ ธุรกิจ Non-Oil โตแรง-ปันผลเพิ่ม
PTG โชว์ผลงานปี 2567 กำไรสุทธิ 1,042 ล้านบาท รายได้รวมแตะ 2.25 แสนล้านบาท ทุบสถิติยอดขายน้ำมันสูงสุด 6,708 ล้านลิตร ครองส่วนแบ่งตลาด 21.9% ธุรกิจ Non-Oil ร้อนแรง “กาแฟพันธุ์ไทย” ขยายสาขาเกินเป้า ลุยแตะ 2,000 สาขาภายในปีนี้ บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลเพิ่ม 0.25 บ./หุ้น จ่าย 16 พ.ค. ฟากซีอีโอมั่นใจปี 68 สดใส เดินหน้าขยายฐานลูกค้า PT Max Card หนุนการเติบโตต่อเนื่อง
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2567 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 1,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% จากงวดปีก่อน และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานอยู่ที่ 0.61 บาทต่อหุ้น ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมาจากรายได้รวมที่เพิ่มขึ้น 27,002 ล้านบาท เป็น 225,813 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากธุรกิจ Oil ที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางที่ยังคงสร้างสถิติยอดขายสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่องเป็น 6,708 ล้านลิตร เติบโต 12.5% คิดเป็นการจำหน่ายผ่านช่องทางค้าปลีกผ่านสถานีบริการ PT จำนวน 6,548 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 12.9% จากปีก่อน สูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมมากกว่า 10 เท่า
ทั้งนี้เนื่องจากภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศผ่านสถานีบริการมีการเติบโตเพียง 0.4% จากปีก่อน ส่งผลทำให้บริษัทฯ ครองส่วนแบ่งการตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้นเป็น 21.9% เทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ 19.5% โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญจากการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (Same-Store-Sales Growth: SSSG) ผ่านกลุ่มลูกค้าสมาชิก Max Card และ Max Card Plus (กลุ่มลูกค้าสมาชิก) เป็นหลัก รวมถึงบริษัทฯ มีการขยายสถานีบริการน้ำมัน PT เพิ่มขึ้น 1.3% YoY เป็น 2,229 สถานี
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการขายและการให้บริการธุรกิจ Non-Oil เท่ากับ 17,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.2% จากปีก่อน โดยธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นที่ 82.6% จากปีก่อนเป็น 2,266 ล้านบาท การเติบโตดังกล่าวมีปัจจัยมาจากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น 465 สาขา จาก 882 สาขา เป็น 1,347 สาขา เพิ่มขึ้น 52.7% หรือคิดเป็นการขยายเฉลี่ย 1.3 สาขาต่อวัน รวมถึงการใช้บริการอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าสมาชิกเป็นหลัก ผ่านการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดและแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ปี 2567 มีจำนวน 14,770 ล้านบาท เติบโต 14.3% จากปีก่อน การเพิ่มขึ้นหลัก ๆ มาจากธุรกิจ Non-Oil ที่เติบโต 34.5% เป็น 3,688 ล้านบาท เป็นผลมาจากธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยมีการเติบโตของกำไรขั้นต้น 80.2% เป็น 1,207 ล้านบาท ในส่วนของธุรกิจ Oil มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 902 ล้านบาท หรือ 8.9 % จากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
จากผลการดำเนินงานงวดปี 2567 ที่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผล สำหรับงวดปี 2567 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 584,500,000 บาท โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท ดังนั้นบริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในครั้งนี้อีกในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท และกำหนดวันจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ซึ่งการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 25 เมษายน 2568
นายพิทักษ์ กล่าวถึงทิศทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ในปี 2568 เชื่อว่าจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากปี 2567 ซึ่งปีนี้บริษัทฯ ยังคงเน้นการขยายเครือข่ายธุรกิจในทุกมิติ พร้อมพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันธุรกิจ Oil ไว้ที่ 5-10% จากปีก่อน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการขยายสถานีบริการ การพัฒนาคุณภาพบริการ และการเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าผ่านโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ รวมถึงปัจจัยมหภาคยังมีบทบาทสำคัญต่อแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันในปี 2568 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวอยู่ในกรอบ 2.3%-3.3%
สำหรับปัจจัยภายใน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายสถานีบริการ PT อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นขยายสาขาในทำเลที่มีศักยภาพ ควบคู่กับการ Renovate สถานีบริการและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบวงจร เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป การเติบโตของฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 25 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของยอดจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการ PT โดยตรงจากพฤติกรรมการใช้ซ้ำและสิทธิประโยชน์ที่ออกแบบให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
พร้อมกันนี้ ยังได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสถานีบริการให้ทันสมัย รองรับทั้งระบบดิจิทัลและการให้บริการที่ครบวงจร เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้เหนือกว่าการเป็นเพียงสถานีเติมน้ำมัน โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนสถานีบริการให้ครบ 2,279 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ 2568
ส่วนธุรกิจ Non-Oil ปี 2568 ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ (ไม่รวม LPG) ที่ 40-50% จากปีก่อน โดยมุ่งเน้นขยาย Touchpoints อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า โดยมีเป้าหมายขยายธุรกิจ Non-Oil (ไม่รวมธุรกิจ LPG) เป็น 2,978 สาขา ซึ่งรวมถึงการขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีอยู่กว่า 2,000 สาขา และเพิ่ม Touchpoints อื่นๆ ภายใต้ธุรกิจ Non-Oil เป็น 1,031 สาขา
ทั้งนี้กาแฟพันธุ์ไทยยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของธุรกิจ Non-Oil ด้วยการขยายสาขาอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 โดยใช้กลยุทธ์การเลือกทำเลที่มีศักยภาพสูง เพื่อเข้าถึงฐานลูกค้าเป้าหมาย ฐานข้อมูลสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ สามารถกำหนดพื้นที่ขยายสาขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นไปยังทำเลที่มีศักยภาพ เช่น ย่านใจกลางเมือง (CBD), หัวเมืองหลักในจังหวัดต่างๆ, ศูนย์การค้า, ห้างสรรพสินค้า, สถานที่ราชการ, โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย เป็นต้น
โดยการเติบโตของกาแฟพันธุ์ไทยไม่ได้มาจากเพียงการขยายสาขาเท่านั้น แต่ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของ SSSG ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการของลูกค้าสมาชิกและบุคคลทั่วไปที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภค จากกลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าสัดส่วนกำไรขั้นต้นธุรกิจ Non-Oil จะอยู่ที่ 30-35% ของกำไรขั้นต้นรวมของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2567 นอกจากนั้นกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil ที่สูงขึ้นยังเกิดจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง และการพัฒนาแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการใช้บริการซ้ำ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยาย Autobacs, Max Mart และ Subway ซึ่งเป็น Touchpoints สำคัญที่ช่วยเสริมระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดย Autobacs จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ Max Mart ขยายตัวเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่เข้าถึงง่ายและ Subway ช่วยเพิ่มทางเลือกด้านอาหารเพื่อสุขภาพให้กับลูกค้าในสถานีบริการน้ำมันและพื้นที่เชิงพาณิชย์
ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงินและความยั่งยืน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ ตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบและคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม จึงผนวกความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อหวังเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข”ในทุกด้านของช่วงชีวิต ด้วยจุดประสงค์ในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างยังยืนในทุกมิติ เพื่อเน้นย้ำความพยายามในการรักษาสมดุลระหว่างการดำเนินงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4/2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการต่างๆ ด้วยเจตนารมณ์ในการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี ในการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน อาทิ การจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ “ค่ายอาสา PT ทำจริงไม่ทิ้งกัน” ซึ่งเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตชุมชนให้อยู่ดีมีสุข, ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์รับซื้อสินค้าเกษตรต่างๆ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากผลผลิตล้นตลาดและนำมาจัดแคมเปญให้กับลูกค้าบัตรสมาชิก Max Card ถือเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน สร้างความยั่งยืนให้เกษตรไทย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยดำเนิน โครงการ “พีที ปลูกป่าสร้างสุขสู่ชุมชน” ถือเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอีกด้วย