“สิ่งแวดล้อม” ความกังวลอันดับหนึ่งของคนไทย บทพิสูจน์ความเปลี่ยนผ่านของผู้บริโภค กับโอกาสใหม่ของแบรนด์ผู้นำด้าน ESG

แม้ภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพจะยังคงกดดันครัวเรือนไทยอย่างต่อเนื่อง แต่ผลสำรวจล่าสุดจาก Marketbuzzz ร่วมกับ วิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเดือนเมษายน 2568 พบว่า “สิ่งแวดล้อม” ยังคงครองตำแหน่งความกังวลอันดับหนึ่งของคนไทยเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ด้วยสัดส่วน 44% แซงหน้า “ค่าครองชีพ” (42%) และ “เศรษฐกิจโดยรวม” (30%)

นี่คือสัญญาณเชิงโครงสร้างที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญ “คนไทยไม่ได้มองปัญหาสิ่งแวดล้อมว่าไกลตัวอีกต่อไป”

เมื่อความกังวลกลายเป็นแรงกดดันใหม่ขององค์กร

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ความท้าทายทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ แต่คนไทยกลับมองว่าสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายลงมีผลกระทบกับชีวิตประจำวันมากที่สุด โดย 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “ได้รับผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตจากสิ่งแวดล้อมอย่างมาก” และ 48% เชื่อว่าสถานการณ์จะ “แย่ลง” ภายใน 5 ปีข้างหน้า

แต่ในทางกลับกัน เมื่อถามถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสิ่งแวดล้อม กลับพบว่าการกระทำยังคง “ไม่สอดคล้อง” กับระดับความตระหนัก

พฤติกรรมสิ่งแวดล้อมที่ทำประจำ 

ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน   50%

ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า   44%

พกถุงผ้า/ขวดน้ำเอง  39%

ปฏิเสธถุงพลาสติกจากร้านค้า  23%

อาบน้ำเร็ว/ลดใช้น้ำ  23%

การกระทำที่ “ง่าย–ทำได้เอง” มีแนวโน้มสูง ขณะที่พฤติกรรมที่ต้องพึ่งพาโครงสร้างระบบ เช่น การรีไซเคิล การแยกขยะ การปฏิเสธพลาสติก กลับยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร

ผศ.ดร.ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช คณบดีวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า “นี่ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นคำชี้ชวนที่บอกเราว่า คนไทยต้องการโครงสร้างหรือระบบที่ช่วยให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงได้จริง ไม่ใช่แค่เรียกร้องให้เปลี่ยนพฤติกรรมโดยไม่มีเครื่องมือสนับสนุน”

แบรนด์ที่เข้าใจ “จุดเปลี่ยน” จะเป็นผู้นำความยั่งยืน

ผลสำรวจระบุว่า 66% ของคนไทยยินดีสนับสนุนแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ การสนับสนุนนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อแบรนด์เหล่านั้นมีคุณสมบัติอื่นที่ใกล้เคียงกัน เช่น ราคา คุณภาพ ความสะดวก และการสื่อสารที่ตรงใจ

มร.แกรนท์ บาร์โทลี่ CEO ของ Marketbuzzz อธิบายว่า “เมื่อคุณสมบัติของสินค้าทุกด้านใกล้เคียงกัน ความยั่งยืนจะกลายเป็น ‘ตัวเปลี่ยนเกม’ ที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกแบรนด์หนึ่งเหนืออีกแบรนด์”

นี่จึงไม่ใช่เรื่องของ CSR เชิงภาพลักษณ์อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการ “บูรณาการความยั่งยืนเข้าสู่สินค้าจริง” เช่น

  • บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้
  • ช่องทางรีไซเคิลที่เข้าถึงง่าย
  • การสื่อสารที่แสดงผลกระทบของการกระทำเล็กๆ อย่างเป็นรูปธรรม
  • การตั้งราคาที่ไม่สูงเกินไปจนทำให้ยั่งยืนกลายเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่ม

 

ใครคือแบรนด์ที่คนไทยมองว่า “ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” มากที่สุด?

จากผลสำรวจ พบว่าแบรนด์ที่คนไทยมองว่าทำเรื่องสิ่งแวดล้อมดี มีผลกระทบเชิงบวก ได้แก่

แบรนด์ % ที่เชื่อว่ามีผลดีต่อสิ่งแวดล้อม
ปตท. (PTT) 68%
True/dtac 64%
AIS 57%
Samsung 56%
7-Eleven 51%
Toyota 48%
Bangchak 46%
Lotus’s 46%

การรับรู้ของผู้บริโภคดังกล่าวบ่งชี้ว่า แบรนด์ขนาดใหญ่ที่ลงทุนในเรื่อง ESG อย่างจริงจัง ย่อมสามารถสร้าง “ต้นทุนความไว้วางใจ” ที่เหนือกว่าคู่แข่ง และมีโอกาสได้รับการสนับสนุนในระยะยาว

 

คนไทยกลัวเรื่องไหนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด?

ปัญหาที่ทำให้คนไทยห่วงมากที่สุด ได้แก่…

  • ภาวะโลกร้อน 46%
  • มลพิษทางอากาศ 45%
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ 29%
  • รถติด 19%
  • น้ำท่วม 18%
  • การจัดการขยะไม่ดี 18%
  • ใช้ทรัพยากรโลกเกินไป 17%
  • ฝนแล้ง/แห้งแล้ง 16%

เมื่อเจาะลึกถึง “สาเหตุของมลพิษทางอากาศ” คนไทยมองว่าเกิดจาก.

  • ควันจากรถยนต์ 44%
  • การเผาขยะ/เศษพืชผล 34%
  • เผาเชื้อเพลิง 28%
  • สารเคมีจากการก่อสร้าง 27%
  • พื้นที่สีเขียวลดลง 22%
  • การใช้โฟม/พลาสติก 22%

ภัยคุกคามสิ่งแวดล้อมที่คนไทยกังวลมากที่สุด

ปัญหาสิ่งแวดล้อม สัดส่วน (%)
ภาวะโลกร้อน 46%
มลพิษทางอากาศ 45%
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ 29%
การจราจรติดขัด 19%
น้ำท่วม 18%
ขยะ/ของเสีย 18%
การใช้ทรัพยากรเกินขนาด 17%
ความแห้งแล้ง 16%

สาเหตุของมลพิษทางอากาศ ที่ประชาชนรับรู้ ได้แก่

  • ควันจากยานพาหนะ (44%)
  • การเผาขยะ/พืชผลการเกษตร (34%)
  • เชื้อเพลิงฟอสซิล (28%)
  • สารเคมีจากการก่อสร้าง (27%)
  • การลดพื้นที่สีเขียว (22%)
  • การใช้โฟม/พลาสติก (22%)

ESG ไม่ใช่แค่ “ภาระ” แต่คือ “โอกาสทางกลยุทธ์”

บทสรุปสำคัญจากงานวิจัยชิ้นนี้คือ “สิ่งแวดล้อม” ไม่ใช่เพียงเรื่องของหน่วยงานรัฐหรือ NGO แต่เป็นความคาดหวังร่วมของประชาชน และกลายเป็นโอกาสสำคัญขององค์กรธุรกิจในการสร้างแบรนด์ บริหารความเสี่ยง และนำพาโมเดลธุรกิจสู่ความยั่งยืน

3 กลยุทธ์ที่องค์กรควรเร่งทำเพื่อตอบโจทย์ ESG

  1. สร้างระบบที่ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น จุดรีไซเคิลอัจฉริยะ–ทางเลือกบรรจุภัณฑ์–ระบบคืนของใช้
  2. สื่อสาร ESG ให้จับต้องได้ อย่าพูดแต่ภาพใหญ่ ให้แสดงผลลัพธ์ที่ผู้บริโภคมีส่วนร่วมได้จริง
  3. ใช้ขนาดองค์กรสร้างโครงสร้างใหม่ให้ตลาด เช่น ทำให้สินค้ายั่งยืนราคาใกล้เคียงของทั่วไป – จัดหาซัพพลายเชนที่ลดคาร์บอน – ออกนโยบาย ESG ที่เป็นรูปธรรม

ในบริบทที่ผู้บริโภคกำลังรอใครบางคนเป็น “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” แบรนด์ใดที่กล้าก้าวก่อน อาจไม่เพียงได้ใจผู้บริโภค แต่ยังได้โอกาสครองตลาดแห่งอนาคต

ESGMarketbuzzzmarketbuzzz-sustainabilitySustainabilityสิ่งแวดล้อม
Comments (0)
Add Comment