Sustainability & CBAM “บททดสอบใหญ่ของธุรกิจไทยบนเวทีการค้าโลก”

กติกาโลกเปลี่ยน – Sustainability ไม่ใช่แค่กระแส

โลกกำลังเข้าสู่ยุค Carbon Economy ที่ “ต้นทุนคาร์บอน” กลายเป็นหัวใจของการแข่งขันการค้า สหรัฐฯ แม้ถอนตัวจากการผลักดัน ESG ระดับรัฐ แต่หันไปใช้ความได้เปรียบจากการเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ ทว่าในฝั่งยุโรป จีน ญี่ปุ่น ยังคงเดินหน้าเข้มงวดกับ Cap-and-Trade System และมาตรการ Carbon Pricing ที่ครอบคลุมเกือบทุกภาคเศรษฐกิจ

หนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดคือ CBAM – Carbon Border Adjustment Mechanism ของสหภาพยุโรป (EU) ที่จะเริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 มกราคม 2026 โดยกำหนดให้สินค้านำเข้าที่ปล่อย CO₂ สูง เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ปูนซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ต้องซื้อ “ใบรับรองการปล่อยคาร์บอน” เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

“ธุรกิจจำเป็นต้องขับเคลื่อนเรื่อง Sustainability ไม่ใช่เพราะเป็นเทรนด์ แต่เพราะมันคือเงื่อนไขการค้าโลก”ดร. กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

สิ่งที่น่ากังวลสำหรับไทย คือการที่กฎหมาย Climate Change และ Carbon Tax ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยมีการกำหนดอัตราเบื้องต้น 200 บาท/ตัน CO₂ (ราว 6.3 ดอลลาร์สหรัฐ) หากไม่ทันการบังคับใช้จริง อาจทำให้ต้นทุนไหลออกนอกประเทศหลายหมื่นล้านบาทต่อปี

ผลกระทบตรง–อ้อมของ CBAM ต่อไทย

  1. ภาคอุตสาหกรรมเสี่ยงสูง

งานวิจัย KResearch ระบุว่า อุตสาหกรรมหลักของไทยที่ส่งออกไป EU เช่น เหล็กและเหล็กกล้า, อะลูมิเนียม, ปูนซีเมนต์, ปุ๋ย ยังมีการปล่อยคาร์บอนสูงกว่าค่ามาตรฐาน CBAM หลายเท่า ทำให้ไทยมีแนวโน้มต้องจ่ายค่าปรับเฉลี่ย 5 แสนบาทต่อการส่งออกทุก 1 ล้านบาท

หากไม่มีการปรับตัว คาดว่าเพียงตลาด EU ไทยจะเสียค่าปรับถึง 2.8 หมื่นล้านบาทภายในปี 2030 และหากจีนกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของไทย ออกมาตรการ CBAM ตามมา ผลกระทบจะเพิ่มเป็น 2.2 แสนล้านบาท

  1. ค่าใช้จ่ายมหาศาลระดับมหภาค
  • ไทยอาจเผชิญต้นทุนจาก CBAM รวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท
  • การเข้าถึง ไฟฟ้าสะอาด ยังเป็นอุปสรรค เพราะโครงสร้างค่าธรรมเนียมไม่ชัดเจน และการลงทุนโครงข่ายยังล่าช้า
  • ตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศ (TVERs) ยังเล็ก มูลค่าซื้อขายปี 2024 ต่ำกว่า 100 ล้านบาท และมีแนวโน้มชะลอ
  1. ช่องว่างด้านกลยุทธ์ของเอกชน

แม้ 71% ของบริษัทไทยเริ่มวางแผนจัดการ GHG แล้ว แต่มีเพียง 11% เท่านั้นที่ตั้งเป้า Net Zero อย่างจริงจัง สะท้อนว่าความสมัครใจของเอกชนยังไม่เพียงพอต่อแรงกดดันจากกติกาการค้าโลก

ดร. รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด วิเคราะห์ว่า “หากไทยไม่เร่งลดการปล่อย GHG ให้ต่ำกว่าค่ามาตรฐานสากล จะต้องเผชิญการสูญเสียความสามารถแข่งขันครั้งใหญ่ และอาจถูกบังคับให้จ่ายต้นทุนล่วงหน้ามหาศาล”

เกมรุก–เกมรับ ทางรอดธุรกิจไทย

ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของไทยยังไม่เพียงพอ นายจักรี พิศาลพฤกษ์ เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ชี้จำเป็นต้องมีมาตรการบังคับ เช่น Carbon Tax และ ETS มิฉะนั้นไทยอาจเสียโอกาสเก็บรายได้ค่าคาร์บอนให้ต่างประเทศจากความล่าช้าในการออกกฎหมาย

  1. กฎหมายภาคบังคับ – เร่งไม่ทันไม่ได้

ร่าง พ.ร.บ. Climate Change เป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการวางระบบ Carbon Pricing และการเก็บ Carbon Tax หากไม่เดินหน้าอย่างรวดเร็ว ไทยจะเสียเปรียบประเทศคู่แข่งที่มีเครื่องมือเหล่านี้รองรับอยู่แล้ว

  1. ลงทุนในพลังงานสะอาด – กุญแจลดต้นทุน
  • ขยายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (ปัจจุบันสัดส่วนเพียง 3%)
  • เปิดโอกาส Direct PPA (ซื้อขายไฟฟ้าตรงจากผู้ผลิตสะอาด) ให้เอกชนเข้าถึงต้นทุนที่แข่งขันได้
  • สร้างโครงข่าย Smart Grid รองรับอุตสาหกรรมสีเขียว
  1. ใช้ ESG เป็นแต้มต่อ ไม่ใช่ภาระ
  • สร้าง แบรนด์ประเทศ ในฐานะผู้ผลิตที่ยั่งยืน
  • เชื่อมโยง Supply Chain ให้เป็น Low-carbon chain เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านภาพลักษณ์และการค้า
  • ใช้ ESG เป็นกลยุทธ์เจาะตลาดผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
  1. ร่วมมือเชิงระบบ – รัฐ–เอกชน

การจะเปลี่ยนผ่านได้สำเร็จต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด พร้อมทั้งสร้าง ตลาดคาร์บอนเครดิตที่มีสภาพคล่อง และพัฒนาเครื่องมือทางการเงินเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจ

“Sustainability คือใบเบิกทาง ไม่ใช่ต้นทุน”

มาตรการ CBAM ไม่ได้เป็นเพียงค่าใช้จ่ายใหม่ของธุรกิจ แต่คือ Game Changer ของการแข่งขันการค้าโลก

ธุรกิจไทยไม่มีทางเลือกว่าจะ “ทำหรือไม่ทำ” แต่ต้องถามตัวเองว่า “จะปรับตัวอย่างไรให้ทัน?”

การลงทุนวันนี้ไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับ แต่คือการซื้ออนาคตทางการค้าและความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย

EU CBAMKRKResearchSustainabilityภาษีคาร์บอนศูนย์วิจัยกสิกรไทย
Comments (0)
Add Comment