SCGD รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2568 กำไรสุทธิ 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากไตรมาสก่อนหน้า ทะยานสูงสุดนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เดินหน้าขยายกำลังการผลิตจากฐาน PRIME ประเทศเวียดนาม ป้อนตลาดอาเซียนที่มีดีมานด์เพิ่มต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาสินค้า HVA และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมในไทยให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์ เสริมขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาว
แม้ภาพรวมตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและก่อสร้างยังเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันรุนแรง แต่ SCGD ยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่ง จากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งพัฒนาสินค้า HVA และกลุ่มสินค้าใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าขยายศักยภาพการผลิตในต่างประเทศโดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งเป็นฐานการผลิตและส่งออกหลักของภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับความต้องการวัสดุก่อสร้างที่ฟื้นตัวขึ้นในประเทศรวมถึงการขยายสู่ตลาดโลกในอนาคต มั่นใจเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวด้วยกลยุทธ์ 4×4 ดังนี้
1.) ยกระดับ PRIME ประเทศเวียดนามเป็นฐานผลิต-ส่งออกหลักของภูมิภาค เน้นบริหารและควบคุมต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้สามารถแข่งกับผู้ผลิตระดับโลกได้ และใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ขยายตลาดส่งออก ในไตรมาส 3 ส่งออกกระเบื้องทั้งสิ้น 2.2 ล้านตารางเมตร เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
2.) เพิ่มกำลังการผลิตและดันยอดขายกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน เพื่อตอบรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น โดยเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน ที่ PRIME เพื่อรองรับความต้องการวัสดุตกแต่งพื้นผิวคุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นทั้งในเวียดนามและตลาดส่งออก ในไตรมาส 3 มียอดขายกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนจาก PRIME กว่า 3.6 ล้านตารางเมตร จากกระแสของผู้บริโภคที่นิยมวัสดุสวย ทน และดูแลรักษาง่าย พร้อมชูจุดแข็งด้านต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้ในระดับโลก
3.) เร่งขยายพอร์ตกลุ่มสินค้าใหม่ในประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตยอดขายในกลุ่มสินค้าเกี่ยวเนื่องต่อจากธุรกิจหลัก และสินค้าใหม่ โดยอาศัยศักยภาพในการจัดหาที่แข็งแกร่ง ซึ่งในไตรมาส 3 เติบโตร้อยละ 50 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
4.) เจาะตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายทุกเซกเมนต์ ผ่านสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) โดยมีสัดส่วนการขายสินค้ากว่า 41% ต่อรายได้จากการขาย เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ รักสุขภาพ-ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่คุณภาพดี ดีไซน์สวย และฟังก์ชันที่คุ้มค่า เช่น วัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องสุขอนามัย ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส ผนังดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ และผลิตภัณฑ์ “ผนังที่หายใจได้” วัสดุปิดผิวผนังนวัตกรรมจากญี่ปุ่น (Flowel Pure TECH by COTTO) ดูดซับสารระเหยอันตราย และปรับสมดุลความชื้นในอากาศ สินค้ากลุ่มสุขภัณฑ์ สุขภัณฑ์อัตโนมัติ DUACT – TAP & GO ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว ประหยัดน้ำเพียง 4.5 ลิตร ใช้แบตเตอรี่แทนการเสียบปลั๊ก และก๊อกน้ำรุ่น Xquisia จาก COTTO ดีไซน์หรูฟังก์ชันทันสมัย ซึ่งทั้ง 2 สินค้าคว้ารางวัลออกแบบผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมระดับสากล รวมถึงสุขภัณฑ์รักษ์โลก ใช้สารเคลือบวัสดุธรรมชาติจากเปลือกไข่และเปลือกหอย ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และกระเบื้องที่ลดการปล่อย CO2 ตลอดกระบวนการผลิต นอกจากนี้ บริษัทยังนำเสนอสินค้าสำหรับกลุ่มตลาดกลางถึงตลาดมวลชนด้วยสินค้าคุณภาพดี และราคาเหมาะสมอีกด้วย
สำหรับกลยุทธ์เพิ่มความสามารถในการทำกำไร 4 กลยุทธ์ในไตรมาส 3 ปี 2568 ได้แก่ การลดต้นทุนด้านพลังงานผ่านการเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ 13.6% เพิ่มขึ้น 5.5 เมกะวัตต์จากไตรมาสก่อน ช่วยลดต้นทุนได้ 22 ล้านบาทต่อปี ขณะที่การใช้เชื้อเพลิงชีวมวล 23.5% เพิ่มขึ้น 1.5% จากไตรมาสก่อน ลดต้นทุนเพิ่มอีก 15 ล้านบาทต่อปี เจรจาการลดต้นทุนวัตถุดิบได้กว่า 21 ล้านบาท รวมถึงการบริหารจัดการฐานผลิตของ SCGD ในองค์รวมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้ PRIME เป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่เหมาะสม เช่นการส่งออกกระเบื้องจาก PRIMEไปยังตลาดประเทศฟิลิปปินส์ สามารถประหยัดต้นทุนได้ร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับต้นทุนกระเบื้องที่ผลิตในประเทศฟิลิปปินส์อีกทั้ง การลดต้นทุนการบริหารจัดการด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบคุมสินค้าคงคลัง และบริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้า ช่วยลดต้นทุนได้ 29 ล้านบาทต่อปี และการลดต้นทุนทางการเงินได้ปีละ 33 ล้านบาทต่อปีจากการทำสัญญากู้ยืมเงินใหม่เพื่อชำระหนี้เงินกู้เดิม รวมถึงการชำระหนี้บางส่วน”
บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 37,064 ล้านบาท และยังคงความแข็งแกร่งทางการเงินด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ที่ 1.3 เท่า ลดลงจากไตรมาสก่อน และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.2 เท่า พร้อมเติบโตในระยะยาว รวมทั้งยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เน้นให้สอดคล้องกับแผนการเติบโตในอนาคต”