“กลุ่มอมตะ” ท็อปฟอร์ม ปี 67 รายได้โต 54% ตั้งการ์ด ปี 68 รับนักลงทุนย้ายฐาน – สะพานเศรษฐกิจเชื่อมการลงทุนทุกมุมโลก

“กลุ่มอมตะ” โชว์ผลงานปี 2567  เคาะรายได้รวม 14,901 ล้านบาท โตเพิ่ม 54% ทำกำไรสุทธิ 2,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% แจง Backlog 21,203 ล้านบาท รองรับนักลงทุนย้ายฐานการผลิตเข้าพื้นที่นิคมฯอมตะทั้งในและต่างประเทศ หวังเป็นจุดเชื่อมเศรษฐกิจการลงทุนทั่วโลก ปี 68 ชูกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจสู่เมืองอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ  ภายในปี 2583 พร้อมดึงอุตสาหกรรมเป้าหมาย พัฒนาสู่สะพานเชื่อมเศรษฐกิจทั่วโลก

นางสาวเด่นดาว โกมลเมศ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน หรือ AMATA เปิดเผยถึงผลประกอบการในปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 14,901 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ ทั้งสิ้น 2,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงแนวโน้มการขยายตัวของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ของอมตะ จึงทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจการโอนขายที่ดิน รายได้ค่าสาธารณูปโภค และการให้เช่าอาคารและโรงงานสำเร็จรูป และการทำพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อให้บริการกับลูกค้า

“ผลการดำเนินงานในปี 67 ธุรกิจมีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลมาจากการบริหารจัดการและการดำเนินกลยุทธ์ที่เน้นการพัฒนาธุรกิจทุกภาคส่วนทั้งในด้านที่ดิน ระบบสาธารณูปโภค และการให้เช่า ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเติบโตระยะยาวของบริษัท ที่มุ่งมั่นการพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เป็นต้นแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ ทั้งจากการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน การบริหารจัดการน้ำและขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพ และการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่อมตะยึดมั่นเพื่อสร้างการเติบโตให้กับชุมชนและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” นางสาวเด่นดาว กล่าว

สำหรับรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากการโอนที่ดิน 9,004 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 87% รายได้ค่าสาธารณูปโภคและบริการ 4,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% และรายได้จากการเช่าอาคารและโรงงานสำเร็จรูป 940 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% โดยในปี 2567 ทางบริษัทฯ มีการโอนที่ดินไปแล้วทั้งสิ้น 1,912 ไร่ และมีมูลค่ายอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 จำนวน 21,203 ล้านบาท

ด้านนายโอซามู ซูโด รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปี 2568 เติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ซึ่งมองว่าจะเป็นปีแห่งโอกาสที่ประเทศไทยสามารถดึงดูดด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญ ทั้งทางภูมิรัฐศาสตร์สงครามการค้าและการกีดกันทางเทคโนโลยีที่คาคว่าจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้นักลงทุนต้องเร่งเคลื่อนย้ายฐานการผลิตและการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง โดยไทยมีความพร้อมและมีศักยภาพในหลายๆ ด้าน อีกทั้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนานาประเทศ ซึ่งสามารถเป็นสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโยงชัพพลายเชนให้กับมหาอำนาจต่าง ๆ ได้ นักลงทุนจึงมองไทยเป็นแหล่งลงทุนที่มีความมั่นคงปลอดภัย และมีความโดดเด่นในภูมิภาค

โดยใน ปี 2568 ทางกลุ่มอมตะได้วางหมุดหมายการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City) ภายในปี 2583 โดยมีแผนงานด้านการจัดการพลังงาน การอนุรักษ์น้ำและธรรมชาติ และการบริหารจัดการขยะภายใต้แนวคิด Zero Waste to Landfill ซึ่งเป็นการลดขยะสู่การฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุด

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเน้นการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่มีจุดมุ่งหมายในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสร้างสังคมที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนและยังคงเดินหน้าพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) โดยมุ่งมั่นสร้างเมืองอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกับทุกภาคส่วน