NOSE TEA x JUNJI ITO กลยุทธ์ Emotional Branding ที่ใช้ ‘อารมณ์’ สร้างมูลค่าเหนือสินค้า

378

ตลาดชาไทยกำลังเข้าสู่ยุคแห่ง “ประสบการณ์” ที่มากกว่ารสชาติ โดยเฉพาะในกลุ่ม ชาเฉพาะกลุ่ม (Specialty Tea) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งมองการดื่มชาเป็น “ไลฟ์สไตล์” และ “ศิลปะการใช้ชีวิต” มากกว่าเพียงเครื่องดื่มดับกระหาย

หนึ่งในแบรนด์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดในช่วงสองปีที่ผ่านมา คือ “NOSE TEA” — ชาชีสแบรนด์ไทยที่กำลังกลายเป็นดาวรุ่งแห่งวงการเครื่องดื่มพรีเมียม ด้วยการเติบโตของยอดขายสูงถึง 2,000% ภายในเวลาเพียง 3 ปี และล่าสุด จุดกระแสใหม่อีกครั้งด้วยการเปิดตัวโปรเจ็กต์ระดับโลก “NOSE TEA x JUNJI ITO : The Beauty of Chaos” การผสมผสาน “รสชาติ” และ “ศิลปะสยองขวัญ” ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

NOSE TEA จากชาชีสสัญชาติไทย สู่แบรนด์พรีเมียมแห่งประสบการณ์

NOSE TEA ก่อตั้งในปี 2565 โดย กชณิชา ฐิติชนาโชติ (ไผ่) และ ธนกฤต ศรีพฤกษมาศ (กฤต) ด้วยแนวคิด “#ชาชีสที่จริงใจ” จากร้านขนาดไม่ถึง 20 ตร.ม. แต่เพียงสามปี ก็เติบโตเป็นแบรนด์ระดับประเทศที่มี กว่า 30 สาขา ทั้งแบบคีออสและสแตนด์อโลน

จุดแข็งของแบรนด์ อยู่ที่การผสมผสาน “รสชาติ” กับ “การเล่าเรื่อง” (Storytelling) ผ่านศิลปะ เช่น การออกแบบร้านที่มีอารมณ์เฉพาะตัว เมนูซิกเนเจอร์ เช่น ชาพีชครีมชีส, ชาสตอเบอร์รี่, ชาส้มแมนดาริน ตั้งราคาพรีเมียม 120–150 บาท แต่ลูกค้ายอมจ่ายเพื่อ “ประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร”

ผลลัพธ์คือการเติบโตแบบก้าวกระโดด

  • ปี 2565: รายได้ 2.2 ล้านบาท (ขาดทุนสุทธิ 2.4 ล้านบาท)
  • ปี 2566: รายได้ 49 ล้านบาท (กำไร 5 ล้านบาท)
  • ปี 2567: รายได้พุ่งแตะ 298 ล้านบาท (กำไร 30 ล้านบาท)

เท่ากับโตขึ้นกว่า 2,000% ภายใน 3 ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนการเติบโตที่แข็งแรงของแบรนด์หน้าใหม่ในตลาดชา ซึ่งโดยเฉลี่ยผู้เล่นทั่วไปต้องใช้เวลานานกว่า 5 ปีจึงจะสร้างยอดขายระดับร้อยล้านได้

ตลาดชาไทย 25,000 ล้านบาท…กำลังเข้าสู่ยุคของ “Brand Experience”

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า มูลค่าตลาดชาไทยปี 2567 อยู่ที่ราว 25,000 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง 8–10% ต่อปี โดยเฉพาะเซกเมนต์ ชาพรีเมียม–ชาชีส–ชาโฟม ที่กำลังเติบโตแรงจากความนิยมในกลุ่ม Gen Z และวัยทำงานยุคใหม่ ซึ่งมองชาเป็นแฟชั่นและพื้นที่แสดงตัวตน

ตลาดนี้มีผู้เล่นรายใหญ่หลายราย ทั้ง KOI Thé, Fire Tiger, BRIX, After You, CHICHA San Chen และ The Alley แต่ NOSE TEA โดดเด่นด้วย “จุดขายทางอารมณ์” (Emotional Selling Point) ที่เชื่อมโยงรสชาติและศิลปะเข้าด้วยกัน

“The Beauty of Chaos” โปรเจ็กต์สยองที่เปลี่ยนชาให้เป็นศิลปะ

ในปี 2568 NOSE TEA สร้างความฮือฮาด้วยโปรเจ็กต์ระดับโลก “NOSE TEA x JUNJI ITO” จับมือกับปรมาจารย์นักวาดการ์ตูนสยองขวัญชาวญี่ปุ่น “จุนจิ อิโต้” เจ้าของผลงานระดับตำนาน Uzumaki และ Tomie ภายใต้แนวคิด “The Beauty of Chaos” – ความงามท่ามกลางความวุ่นวาย

แบรนด์ตีความ “วังวนแห่งความกลัว” ใน Uzumaki ให้กลายเป็น “รสชาติแห่งวังวน” ผ่านเมนู วิปครีมชีสวังวน (Swirl Cheese Cream) ซึ่งใช้ความนุ่มละมุนของชีสเป็นสัญลักษณ์ของ “ความงามที่หมุนวนอยู่ในความสับสน” พร้อมเปิดประสบการณ์ Immersive Art Installation ที่สาขาปั๊มเชลล์ ถนนข้าวหลาม แบ่งพื้นที่เป็น 3 โซนสุดหลอน

  1. พื้นที่ต้องคำสาปของ SOICHI
  2. Classroom of TOMIE
  3. Drive-Thru Graveyard

ทั้งหมดคือกลยุทธ์การตลาดที่ยกระดับร้านชาให้กลายเป็น “คลังศิลปะ” และสร้าง Brand Engagement ผ่านความรู้สึกของลูกค้าโดยตรง

จาก Emotional Selling สู่ Cultural Branding

สิ่งที่ NOSE TEA ทำในโปรเจ็กต์นี้ คือการยกระดับ “แบรนด์ชา” ไปสู่ Cultural Branding — การใช้วัฒนธรรมและอารมณ์เป็นเครื่องมือสื่อสารแบรนด์ แทนที่จะพูดเรื่อง “ความอร่อย” หรือ “วัตถุดิบพรีเมียม” NOSE TEA กลับพูดเรื่อง “ความงามในความกลัว” และ “เสน่ห์ในความสับสน” ซึ่งสะท้อนตัวตนของคนรุ่นใหม่ที่โอบรับความหลากหลายของอารมณ์

ในเชิงกลยุทธ์ การคอลแลบกับ Junji Ito คือ “การตลาดเชิงศิลปะ (Art-based Marketing)” ที่

  • ยกระดับแบรนด์ไทยให้มีมูลค่าทางวัฒนธรรม (Cultural Equity)
  • ขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่ม Art Lover และแฟนมังงะทั่วเอเชีย
  • สร้าง Content Economy บนโลกออนไลน์ผ่าน TikTok / Instagram ที่เต็มไปด้วย “ไวรัลแห่งความกลัว”

การผสมผสานนี้สะท้อนแนวคิดของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Starbucks x Murakami หรือ Loewe x Spirited Away ที่ใช้ศิลปะเป็น “พลังเชื่อมอารมณ์กับผู้บริโภค”

กลยุทธ์การตลาด จากรสชาติ สู่ Brand Universe

สิ่งที่ทำให้ NOSE TEA โดดเด่นเหนือคู่แข่ง คือการเปลี่ยนแนวคิดจาก “ขายเครื่องดื่ม” สู่ “สร้างจักรวาลของแบรนด์” กลยุทธ์ Experiential Marketing และ Cultural Collaboration ถูกใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและขยายฐานลูกค้าในวงกว้าง โดยเฉพาะในโลกโซเชียลอย่าง TikTok และ Instagram ที่ผู้บริโภคชื่นชอบการแชร์ประสบการณ์ใหม่

การผสมผสานกับ “Junji Ito” ไม่เพียงสร้างไวรัล แต่ยังเปิดโอกาสให้ NOSE TEA เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นและต่างประเทศในอนาคต ผ่านภาพลักษณ์แบรนด์ไทยที่มี “ศิลปะและตัวตนชัดเจน”

สรุปกลยุทธ์สำคัญของ NOSE TEA

กลยุทธ์ แนวคิดหลัก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
Experiential Marketing เปลี่ยนการดื่มชาเป็นการ “มีประสบการณ์ร่วม” ผ่านศิลปะและอารมณ์ สร้าง Brand Engagement สูงในกลุ่ม Gen Z
Cultural Collaboration ร่วมงานกับศิลปินระดับโลก Junji Ito เพื่อสร้างมูลค่าทางวัฒนธรรม ยกระดับแบรนด์ไทยสู่ระดับเอเชีย
Emotional Branding ขาย “อารมณ์” มากกว่า “สินค้า” ลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงและภักดีต่อแบรนด์
Social-Driven Marketing ใช้ TikTok/Instagram กระจายคอนเทนต์ไวรัล เพิ่มการรับรู้แบรนด์และยอดขายอย่างก้าวกระโดด

“The Beauty of Chaos” ความงามในวังวนของแบรนด์ไทย

จากร้านชาเล็กๆ ในปี 2565 วันนี้ NOSE TEA เติบโตเป็นธุรกิจร้อยล้านที่กำลังขยายสู่แบรนด์ระดับเอเชีย ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากรสชาติอย่างเดียว แต่จากการ “ดีไซน์ประสบการณ์” และ “เล่าเรื่องผ่านศิลปะ” อย่างต่อเนื่อง

โปรเจ็กต์ “The Beauty of Chaos” คือบทพิสูจน์ว่าในโลกที่ทุกแบรนด์แข่งขันด้วยราคาและโปรโมชั่น แบรนด์ที่กล้าที่กล้า “คิดต่าง – ทำจริง – และสร้างอารมณ์ร่วม” จะครองใจผู้บริโภคได้ยั่งยืนกว่า และนี่คือ “วังวนแห่งความอร่อย” ที่ NOSE TEA ตั้งใจให้คุณหลงใหลไม่รู้จบ